การประพฤติปฏิบัติที่ทำกันมาเนิ่นนาน ได้แก่การล้างปากกลั้วคอ ล้างจมูกด้วยน้ำทะเล น้ำใส่เกลือ (isotonic หรือ hypertonic saline) ตลอดจนน้ำที่มีส่วนผสมโพวิดีน ไอโอดีน และยาพ่นจมูกคอที่มีคุณสมบัติทำให้เยื่อบุคงสภาพขณะเดียวกันป้องกันการเกาะติดและการแพร่ต่อของไวรัส กลับเป็นของดี

ทั้งที่ก่อนหน้าโดยเฉพาะในช่วงระบาด มีการโหมประโคมการใช้ยาพ่นจมูกปาก ที่ต้องมีแอนติบอดีพิเศษ ชนิดชั้นผู้ดี Elite ที่จับไวรัสได้อย่างเจาะจง ซึ่งในที่สุดไวรัสก็กลายพันธุ์ออกไป ใช้ไม่ได้ และไม่ได้ดีกว่ายาพ่นจมูกบ้านๆ ที่หาซื้อได้ราคาถูกเข้าถึงได้ และวัคซีนโดยการฉีดเองนั้น ไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิที่ออกไปที่เยื่อบุจมูกและลำคอได้

ยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรไม่ว่าจะเป็นแบบสกัดหยาบซึ่งอาจต้องกินมื้อละหลายเม็ด หรือสกัดเฉพาะที่มีสารออกฤทธิ์เยอะ มีผลในการรักษา โดยถ้าไม่ได้กินต่อตลอดต่อเนื่อง ไม่ได้ทำให้เกิดตับอักเสบดังที่ถูกป้ายสีจากทางการมาตลอด อีกทั้งมีข้อมูลในวารสารทางวิทยาศาสตร์ลงลึกถึงกลไกการออกฤทธิ์ต่อต้านไวรัส

ประการสำคัญคือสามารถต่อต้านไวรัสได้หลายกลุ่ม และความที่มีกลไกออกฤทธิ์ได้หลายตำแหน่งทำให้สู้ได้แม้ว่าไวรัสมีการกลายพันธุ์

...

สมุนไพรอื่น ได้แก่ ขมิ้นชัน พลูคาว ยาในตำรับจารึกแพทย์แผนไทย ยาขาว และอื่นๆ อีกมากมายมีการใช้ในชุมชน และมีการรายงานทางวิทยาศาสตร์มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนระบาดของโควิดจนถึงปัจจุบัน จากประเทศตะวันตก ซึ่งในที่สุดประเทศนอกก็จะนำสมุนไพรเหล่านี้เป็นยาและกลับมาขายแพง

กัญชาและกันชงถูกปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงถูกป้ายสีว่ามีแต่โทษหาประโยชน์ไม่ได้ กลับมีรายงานเช่น วารสาร Science ว่าสามารถป้องกันและรักษาโควิดได้ รวมทั้งเจาะลึกถึงกลไกในระดับโมเลกุล รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของยีนที่ควบคุมและยับยั้งการต่อสู้โรค

กัญชาและกันชงมีรายงานทางวิทยาศาสตร์ถึงบทบาทในการรักษาสมองเสื่อมและกลไกที่ช่วยให้สมองเสื่อมดีขึ้น และในเรื่องความปวดทรมานเรื้อรัง นอนหลับยาก โรคลมชัก โรคออทิสติก และอีกหลายโรค ทั้งนี้ กันชงและกัญชาของไทยสกัดแบบบ้านๆ ได้ตัวประกอบหลายชนิดพร้อมกันกลับดีกว่าที่สกัดบริสุทธิ์เป็นตัวเดียวซึ่งได้ผลไม่นานและดื้ออีกทั้งมีปฏิกิริยากับยาปัจจุบันที่ใช้ร่วมกัน กัญชาและกันชงที่ทำขายเป็นยาจากบริษัทต่างประเทศและขายทั่วโลก เช่น อาม่ารักษาโรคลมชักค่าใช้จ่ายอาจจะถึงประมาณ 60,000 บาทต่อเดือนด้วยซ้ำ ผลที่เลวร้ายที่ต้องระวังอย่างยิ่งและต้องตัดตอนให้ได้ ไม่เช่นนั้นประชาชนจะเป็นผู้รับเคราะห์

ทั้งนี้ ล้วนแต่เป็นผลจากการที่ประชาชนได้รับข้อมูลด้านเดียว จากองค์กรหน่วยงาน แม้แต่ทางการที่มีส่วนเชื่อมโยงกับบริษัทผลิตภัณฑ์ ยาเวชภัณฑ์ ทั้งนี้ ไม่เว้นแต่สถาบันการศึกษาโรงเรียนแพทย์ที่เชื่อข้อมูลตามตำราวารสาร ตามองค์การอนามัยโลกและองค์กรระหว่างประเทศโดยละเลยที่จะดูสภาพความเป็นจริงที่ตรงข้าม ละเลยที่จะสืบหาสาเหตุที่แท้จริง ที่กลับทำให้คนตายพิการตลอดชีวิตถ้าเชื่อทางการ ถ้าเชื่อองค์กรวิชาชีพไม่ได้ ถึงเวลานั้นประเทศชาติคงพังพินาศ?

หมอดื้อ

คลิกอ่านคอลัมน์ "สุขภาพหรรษา" เพิ่มเติม