“มาอัมพวา หากหานารี สมดั่งที่หวังมา แม่บ้านแม่เรือนเพื่อนครองวิวาห์ อัมพวาสุขสมบูรณ์...” ระหว่างนั่งเรือหางยาวติดเครื่องยนต์คล้ายเสียงรถตุ๊กๆอยู่กลางคลองอัมพวา อารมณ์พลันนึกถึงเพลง “สาวอัมพวา” ที่ครูธาตรีตั้งใจแต่งให้คือครูเอื้อ สุนทรสนานกับภรรยา
แต่ให้เสียดายภาพเก่าตลาดน้ำอัมพวา ที่เรือชาวบ้านเคยพายเอาพืชสวนมาขาย ทุกวันนี้กลายเป็นตลาดเรือนริมน้ำยามเย็นวันหยุดแทน แล้วปล่อยให้พ่อค้าถิ่นอื่นมาเช่าที่นำสินค้าอะไรก็ไม่รู้มาขายเป็นตลาด “โบ๊เบ๊” ไปเสียนี่?... “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”...คิดได้อย่างนี้จะได้สบายใจ
ว่าแล้วก็นั่งเรือตุ๊กๆไปดูโฮมสเตย์ริมคลองสลับวัด 2-3 แห่งใกล้เคียงกันต่อไป ไม่เกิน 5 นาที เรือก็แล่นเข้า “คลองโรงธรรม” เห็น “ต้นจาก” ยืนอวดลำต้นทะลายติดลูกริมฝั่งเป็นระยะๆ...ช่างน่ารักจัง

เพียงอึดใจเดียวเรือก็เทียบท่ารีสอร์ตชื่อเก๋ “ลำพวา อัมพวา” โดย “ลำ” มาจาก “ลำพู” ต้นไม้ชนิดหนึ่งเจริญพันธุ์ได้ดีในที่ชื้นริมน้ำและหิ่งห้อยชอบมาเกาะเรืองแสง ยามค่ำคืนละแวกนี้
...
ส่วน “พวา” นั้นหมายถึง “อัมพวา” ดังเนื้อเพลง “สาวอัมพวา”...เมื่อสมาสสนธิกันจึงเป็น “ลำพวา” ภาษาอังกฤษเขียนเพิ่ม “L” ตัวเดียวเป็น “Lumphawa” ว่ากันถึงบรรยากาศนั้นสุดแสนจะ “โป๊ะเกินต้าน” เชียวแหละ
ค่ำคืนนี้...“คุณชาย 1” เลือกนั่งตรงระเบียงริมน้ำซีนเนอรีสุดชิลล์ เห็นต้นลำพูริมคลองกลางสายลมพัด ตรงนี้เป็นอาณาบริเวณของห้องอาหารโอเพ่นแอร์ชื่อเก๋ (อีกแล้ว) “ลำพวา ตาสว่าง” โดยชิงปฏิเสธจะนั่งในห้อง “ร่มลำพู” เรือนกระจกติดเครื่องปรับอากาศ

คนที่เข้ามาทักทายก็ใช่ใครที่ไหนอินฟลูเอนเซอร์รุ่นใหม่วัยกลางคนที่มีดีกรีมหาบัณฑิตสาขาสถาปัตยกรรมจากออสเตรเลีย ช่วยกันออกแบบรีสอร์ตกับภรรยาดีกรีเดียวกัน แถมเป็นสาวอัมพวาครองวิวาห์ตามเพลง และบริหารงานร่วมกันคือ “ธาม–ฉลวย (อิ๊ด) ภมรานุพงศ์”
ธามเล่าว่าเปิดมา 7 ปีราบรื่นตลอดอัตราเฉลี่ยตลอดทั้งปี 80-85% เป็นกลุ่มสัมมนาจากสถาบันศึกษากับส่วนราชการ ที่ขายได้ทั้งห้องพัก อาหาร ห้องสัมมนาซึ่งรับได้ 20-200 คน มีกลุ่มนักท่องเที่ยว ตลาดอัมพวา กับแผ่นดินรัชกาลที่ 2 แล้วก็สวนมะพร้าวน้ำหอมผสมโรง
“แต่พอปี 2563” ธามว่า “ถูกโควิดเล่นงาน ทุกอย่างต้องหยุดชะงักไปพักใหญ่ เพิ่งจะมาดีขึ้นตั้งแต่กลางปีที่แล้ว” ส่วนอาหารขึ้นชื่อสำหรับถิ่นนี้ธามแนะนำน่าจะเป็น “ใบชะคราม”

คุณชายนึกได้ทันทีใบไม้ที่ว่ามีชื่อเรียกอีกอย่างคือ “ช้าคราม...ชั้วคราม..ล้าคราม” พบได้ที่ “แม่กลอง” สมุทรสงคราม อีกที่ “มหาชัย” สมุทรสาคร เป็นพืชล้มลุกน้ำทะเลขึ้นถึง
“แต่ก่อนชาวบ้านที่นี่...นิยมเด็ดจากริมคันนาเกลือที่ขึ้นเต็มไปหมด เอาไปล้างทำความสะอาดและล้างเค็มก่อน แล้วต้มคั้นความเค็มอีกสองสามครั้ง ถึงไปจิ้มกินกับน้ำพริกปลาทูหรือยำทำแกง คนเก่าๆเล่าว่า...รากเป็นยาบำรุงและดับพิษในกระดูก แก้ฝีภายใน น้ำเหลืองเสีย ผื่นคันโรคผิวหนัง เอ็นพิการ และอีกสารพัด”
...
ธาม เล่าให้ฟังอีกว่า ชะครามเป็นพืชกลิ่นฉุน ถ้าล้างไม่เป็นอาจแพ้กลิ่นเกิดอาการวิงเวียนได้ และหากกินมากเกินไปก็มีสิทธิ์ปวดท้องคลื่นไส้อาเจียนหรือท้องเสีย

นี่เป็นคำเตือน...ก่อนจะลงมือชิมอาหารรสเด็ดคูณสอง นั่นก็คือ “น้ำพริก+ปลาทูหน้างอคอหัก”... สัญลักษณ์แม่กลอง ได้ผักเครื่องเคียงมีข้าวสวยเป็นพื้นปลาทูเป็นเนื้อ น้ำพริกเป็นน้ำกินกับไข่เจียวชะคราม ออเจ้าเอย!...อร่อยจริงๆ ปลาทูเนื้อหนังแน่น เพราะว่ายน้ำมาไกลจากทะเลอ่าวไทยหมู่เกาะอ่างทอง สุราษฎร์ธานี
น้ำพริกก็รสดีเด็ด เผ็ดพริกขี้หนูแต่หอมกะปิที่น้ำใสสีชมพูเรื่อส่งตรงมาจาก “เคยภูเก็ต”
เมนูพาเหรดตามมาเรื่อยๆ “ยำปลาทู” แกะเนื้อทิ้งก้างยำกับตะไคร้ หอมแดงซอย ใส่พริกขี้หนู มะนาวเอาน้ำ มะกรูดเอาผิว โรยสะระแหน่ รสชาติถูกปาก...ตามด้วย “ปลาทูทอดน้ำปลา” มาเผ็ดอีกครั้งกับ “ฉู่ฉี่ปลาทูหน้างอคอหัก”...“คั่วกลิ้ง” ผักสดใบชะคราม...“แกงเหลืองปลากะพงมะละกอ” ใบชะคราม

ไหนๆก็ไหนๆ...เมื่อมาเจออาหารปักษ์ใต้บ้านเราในถิ่นแม่กลอง ก็ต้องเลือกตรงรี่ไปกับเมนูที่เห็นเตะตาเต็มประตูนั่นก็คือ “แกงเผ็ดหมูปักษ์ใต้ใส่กล้วยดิบ” ย้ำว่าเมนูนี้ครัว “อัมพวา ตาสว่าง” อาศัยความได้เปรียบเรื่องรสชาติโดยสั่งเครื่องแกงตรงจากปักษ์ใต้ขนานแท้ 100%
“เริ่มจากใช้เครื่องแกงผัดกับหัวกะทิ พอเห็นว่ากะทิกับเครื่องแกงเข้ากันดีแล้วถึงค่อยใส่หางกะทิตามลงไป จากนั้นใส่เนื้อหมูที่หั่นเป็นชิ้นรอไว้ก่อน พอเห็นว่าน้ำแกงเริ่มเดือดจึงใส่เนื้อหมู สุดท้ายใส่กล้วยดิบที่ฝานเป็นชิ้นเหมือนบวบ เอาแค่กล้วยอมน้ำแกงแค่นั้นพอ กล้วยจะได้กรอบ”
เคล็ดลับที่สำคัญ...ถ้าจะให้ดีต้องกล้วยเล็บมือนางเพราะขนาดเล็กอมน้ำแกงได้ดีกว่ากล้วยน้ำว้า

...
เอาล่ะครับเมนูนี้พอจ้วงเข้าปากคำแรก...ก็พลันได้พบคำตอบแบบทันควันทันที รสชาตินั้นเผ็ดเข้มข้น หอมยี่หร่ารสร้อนแรง ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา ตามพระราชนิพนธ์กาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวาน ของล้นเกล้า รัชกาลที่ 2 ขึ้นมาทันที...รสดีเด็ดเผ็ดน้ำแกงแต่กรอบละมุนด้วยเนื้อกล้วยดิบอร่อยสุดๆ
แล้วก็มาถึงอีกเมนูเด็ดโดนใจไม่แพ้กัน “แกงเผ็ดเนื้อปักษ์ใต้ใส่มันขี้หนู” โอ้โหใช้เครื่องแกงครกเดียวกันแต่ใช้มันขี้หนูแทน ซึ่งเนื้อกรอบและยุ่ยกว่า กระนั้น...ก็เผ็ดครือกัน แล้วก็อร่อยโดนใจเว่อร์วังอลังการ
ปิดท้ายกันตรงนี้ “อัมพวา ตาสว่าง” มีเมนูเลือกกินทั้งไทยและเทศ ราคาเริ่มต้น 20-150-220 บาท เปิด 7 โมงถึง 10 โมงเช้า 11 โมงพัก 3 โมงเย็น 5 โมงเย็นชมหิ่งห้อยถึง 4 ทุ่ม
ติดต่อสอบถาม จองที่นั่งได้ที่เบอร์ 08– 7697–5369...จะสัมมนาหรือเที่ยวตลาดน้ำอัมพวา แล้วอยากกินแกงอร่อยๆขึ้นมา เชิญได้ ที่...“ลำพวา ตาสว่าง” กันนะครับ.
คุณชาย 1