อินเลิฟหนักมาก สำหรับคู่รัก ฌอห์ณ จินดาโชติ กับแฟนสาวดีไซเนอร์ เพชร–ภิพัชรา แก้วจินดา เจ้าของแบรนด์กระเป๋าเครื่องหนัง PIPATCHARA ล่าสุดควงคู่เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ Infinitude จากการนำพลาสติกมารีไซเคิล ที่ชั้น G สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยม ทั้งคู่เปิดใจร่วมกันว่า
ความรักแฮปปี้ดี?
ฌอห์ณ : “เราคบกันมา 2 ปีแล้วครับ พอๆ กับคอลเลกชันนี้ของเขา เติบโตมาด้วยกันอยู่ในทุกที่ทุกเวลาทุกสถานะทั้งการทำงาน ฐานะของแฟน ฐานะของพี่ของน้อง และของเพื่อน เป็นความโชคดีของผม ผมพูดเสมอว่าโชคดีที่มีเขา เขาเป็นคนมีเจตนาที่ดีและมีความสามารถ มันส่งผลให้เราเพราะเขาเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีมากๆ ทำให้เราขับเคลื่อนไปในทางที่ดี เวลาเราช่วยเหลือกันเราจะไม่เอาอัตตาตัวเองเป็นที่ตั้ง วันนี้ที่มา เขาให้ผมทำอะไรผมก็ทำ ในงานของผมเขาก็ทำเช่นกัน เรารู้สึกดีจัง มันทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น”
เราสองคนเหมือนกันมาก ต่างคนต่างยิ่งซัพพอร์ตกัน?
ฌอห์ณ : “มันก็มีทั้งส่วนเหมือนและต่าง แต่ส่วนที่ต่างเราชอบที่จะเรียนรู้กัน คุณเพชรเองเป็นคนเปิดทัศนคติในการรับฟังที่ดี เขาเห็นความต่างแล้วเขาไม่ตัดสิน เขาจะถามว่าพี่คิดอย่างนี้เพราะอะไร นั่นก็เลยเป็นสิ่งที่ทำให้เราชอบที่จะเรียนรู้ เราไม่เคยรู้สึกเสียเวลาที่จะมาในวันงานของเขาแทนที่จะเราไปเจอหลังเลิกงานก็ได้ ผมรู้สึกมันเป็นโมเมนต์ที่เราอยากเก็บเกี่ยวไปด้วยกัน ก็เลยอาจจะเป็นคู่ที่คนรู้สึกว่าฌอห์ณอยู่ไหนเพชรอยู่นั่น ไม่ว่าจะขึ้นเขาลงห้วยเดินห้างเราก็อยู่ด้วยกัน”
ฌอห์ณเป็นผู้ชายเหมือนที่เราคิดไว้ไหม?
เพชร : “โห ไม่เหมือนกับภาพแรกเลย (หัวเราะ) เพชรว่าเขาอ่อนโยนมากกว่าที่เห็นตอนแรก และเขาเป็นแคริ่งมากๆ ใส่ใจในทุกรายละเอียดจริงๆ ในเรื่องของความคิดด้วย เพชรรู้สึกว่าคนที่สามารถนำไปได้เขาก็ต้องมีความคิดที่ดีและมีเจตนาที่ดีด้วย”
...
เรียกว่าแพ้ให้กับทัศนติเลย?
เพชร : “ใช่ค่ะ เพชรรู้สึกว่าทัศนคติสำคัญนะคะ เพราะในทุกวันที่ต้องใช้ชีวิตถ้าเราไม่มีการ์ดที่ดีก็อาจจะพาเราไปในทางที่ผิดทางได้ ในหลายๆครั้งที่เพชรจะไปผิดทาง เขาก็พยายามพาไปในทางที่ถูก”
มีปรับตัวอะไรกันเยอะไหม?
ฌอห์ณ : “มีครับ เวลาปรับเราจะไม่รู้สึกเครียดในการปรับ เรารู้สึกเป็นเรื่องสิ่งใหม่ เราไม่เคยทะเลาะกันเรื่องเดิม การที่เราทะเลาะคือสิ่งใหม่ที่เราไม่เคยเจอในอีกด้านหนึ่งของกันและกัน แล้วเราก็พร้อมที่จะแก้ ผมโชคดีมากๆเลยที่มีผู้ร่วมงานที่เป็นซัพพอร์ตเตอร์ขนาดนี้ และเป็นแฟนที่ดีมากๆครับ”
อะไรที่ทำให้เราทั้งคู่เปิดใจรับฟังกันและกัน?
ฌอห์ณ : “ผมว่าถ้าเรารักใครสักคน เราพร้อมที่จะลดตัวตนเรา เราก็พร้อมที่จะเปิดใจกับทุกสิ่ง คือเราจะไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เหมือนเวลาคุณพ่อคุณแม่เขารักเรา เรารักคุณพ่อคุณแม่ เราก็ฟังเราเข้าใจและจะหามุมที่เข้าใจแกให้เร็วที่สุด เช่นเดียวกับคุณเพชร เราอาจจะเติบโตมาในบริบทสังคมที่แตกต่างกันแต่เราแคร์ความรู้สึกกัน เราเชื่อและศรัทธาในบุคคลนี้เราก็ฟังเหตุผลเขาก่อน”

ความรักลงตัวแล้วมองไปถึงเรื่องแต่งงานเลยไหม?
ฌอห์ณ : “ผมคิดเสมอและตั้งใจแบบนั้นจริงๆ”
เพชรรู้สึกยังไงบ้างที่แฟนตั้งใจขนาดนี้?
เพชร : “ก็ดีใจกับเขาด้วย (ยิ้มเขิน) คำถามนี้เพชรตอบยาก มากๆเลย เพชรว่าเขาน่ารักมากๆ และเขาก็ดีมากๆ เขาให้กำลังใจเสมอ เขาอยากได้อะไร อยากจะไปทางไหน ก็คุยกันตลอดค่ะ ให้เวลาด้วย”
มีความพร้อมมากแค่ไหน?
ฌอห์ณ : “ความพร้อมก็มาถูกทางและสม่ำ เสมอ เป็นเหตุผลที่พยายามทำงานให้หนัก ผมรู้สึกว่าเขาเห็นความตั้งใจแหละเพราะว่าเราไม่เคยห่างกันเลย ฉะนั้น เมื่อถึงวาระที่เหมาะสมฤกษ์ดี ก็จะบอกเขาเป็นคนแรกครับ”
ครอบครัวมีเร่งไหม?
ฌอห์ณ : “อยู่ในสายตาของครอบครัวทั้งสองคนตลอด เราเข้าออกบ้านของทั้งสองฝ่าย เขาค่อนข้างให้สิทธิ์ของความเป็นผู้ใหญ่ทั้งสองคน จะไม่มีการแบบถึงเวลาแล้วนะ เขาเห็นแล้วแหละว่าต่างฝ่ายต่างตั้งใจทำงานกันขนาดนี้คงมีเป้าหมายร่วมกันแล้วแหละ”
ทำงานหนักขนาดไหนเพื่อให้ถึงอนาคตในเร็วๆนี้?
ฌอห์ณ : “ผมไม่ได้หยุดมา 10 กว่าวันแล้วครับ แต่ผมก็มีความสุขดีที่รู้ว่าเราตื่นแล้วไปทำอะไร วันนี้มางานเขา พรุ่งนี้ไปถ่ายละคร อีกวันเข้าออฟฟิศ เขาเป็นตัวอย่างที่ดีของผม เขาไม่เคยบ่นว่าเขาเหนื่อย เขารู้สึกว่าตราบใดที่เรามีงานทำในยุคนี้เศรษฐกิจแบบนี้การมีงานทำถือว่าโชคดี การที่คุณมีคนจ้างคุณต่อนับเป็นความโชคดียิ่งกว่า ถ้าเรามีความสุขกับงาน งานก็จะออกมาดี”
เพชรรู้สึกยังไงที่ฌอห์ณทำงานหนักเพื่ออนาคตของเราทั้งคู่?
...
เพชร : “เพชรให้กำลังใจเสมอเลยนะ และไม่ได้กดดันอะไรด้วยจริงๆ อยากให้เขาตั้งใจในสิ่งที่เขาทำอยู่และไม่อยากให้เหนื่อยมาก ให้ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ในเรื่องของการงาน ก็ดีใจที่เขาตั้งใจทำงานจริงๆ ในทุกงานเลยนะ อยากฝากงานเขาไว้ด้วยจริงๆ ค่ะ”
ฌอห์ณ : “เราคุยกันว่าเราจะเป็นซัพพอร์ตของกันและกันครับ แต่ว่าในเชิงของการทำงานร่วมกัน ผมว่าต่างคนต่างมีเส้นของตัวเอง อย่างการมาช่วยถ่ายภาพ มาช่วยดูแลเรื่องคอนเทนต์วิดีโอของเขา มันก็จะมีขาหนึ่งที่เขาเป็นเหมือนลูกค้าเรา ฉะนั้นเราก็ต้องเคารพกันและกัน ผมรู้สึกพอเราไปช่วยมันจะเป็นเรื่องใจล้วนๆมากกว่า มันก็จะไม่มีเรื่องของผลประโยชน์ มันก็รู้สึกว่าเราต่างคนต่างสบายใจกันแบบนี้”.