ได้พิสูจน์ฝีมืออีกครั้ง พระเอกหนุ่ม “เจษ–เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์” พลิกบทบาทจากพระเอกสุดละมุนมารับบทที่แตกต่างในละครโรแมนติกดราม่า “วิมานทราย” ทางช่องวัน 31 กับบท “ภาณิน” หนุ่มทายาทโรงแรมดัง รักแรงโกรธแรง มีมุมแข็งกร้าวประกบคู่นางเอกสาว “เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา” เลยได้เห็นทั้งมุมเกรี้ยวกราด ดราม่าและอีกหลากมุมใหม่ๆทางการแสดง ซึ่งช่วงที่ผ่านมาในชีวิตจริง “เจษ” เองก็เปิดโลกให้แฟนๆได้เห็นมุมที่ไม่เคยเห็นเช่นกัน จากหนุ่มโลกส่วนตัวสูง มาเป็นหนุ่มสายแฟชั่น และเป็นหนุ่มมั่นคงในความรัก 3 ปีกับสาว “วิว–วรรณรท สนธิไชย” ยกให้เป็นสาวที่ใช่ มองอนาคตร่วมกัน “เจษ” เปิดใจเริ่มจาก...

การพลิกบทบาทมาเป็นพระเอกเกรี้ยวกราด?

“เรื่องวิมานทรายเป็นละครโรแมนติกดราม่าเข้มข้นมากๆมีความพีเรียดเล็กน้อย เรียกว่าจะมีช่วงหนึ่งของเรื่องที่ตัว “ภาณิน” ที่ผมรับบทจะเป็นคนเกรี้ยวกราดแบบด่าทอ ทำร้ายจิตใจนางเอกต่างๆนานา เรื่องราวเริ่มจากพระเอกนางเอกได้เจอกันที่ทะเลโดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครและมีความรู้สึกดีต่อกัน เป็นรักที่บริสุทธิ์ และกลับมาเจอกันที่กรุงเทพฯก็เกิดเหตุการณ์เข้าใจผิดที่รุนแรงทำให้พระเอกโกรธ ผิดหวัง รู้สึกว่าเรารักคนผิด รักคนที่ทำร้ายชีวิตเรา ทำร้ายคนที่เรารัก เลยเริ่มต้นการทำร้ายจิตใจนางเอก”

เตรียมตัวกับบทนี้ยังไงบ้าง? “ผมให้ความสำคัญกับเหตุผลที่ทำให้เค้าเป็นคนเกรี้ยวกราด ตรงนั้นเราต้องเชื่ออย่างมากและทำฉากนั้นให้ดีมากๆคนถึงจะเข้าใจและสงสารพระเอกว่าเค้าโดนอะไรมาถึงได้เสียใจ จริงๆการทำร้ายที่แรงที่สุดคือทำร้ายจิตใจ มันคือบาดแผลที่ใช้เวลานานกว่าจะเยียวยา”

...

เม้าท์ชัด จัดทุกตอน ติดตามได้ที่ www.thairath.co.th/novel และ Facebook Fanpage : นิยายไทยรัฐ

ฟีดแบ็กของแฟนๆที่เห็นเจษรับบทนี้เป็นยังไง?

“แฟนๆเค้าก็ชอบนะ เพราะคนก็อาจจะไม่เคยเห็นผมในบทแบบนี้เท่าไหร่ ช่วงที่ผ่านมาเค้าก็จะเห็นเราในบทพระเอกซัพพอร์ตนางเอก พระเอกสายอบอุ่น อันนี้ก็คือเปลี่ยนไปจากที่เค้าได้ดูกันเลย”

ดูแล้วจะถึงกับทำให้เกลียดพระเอกเลยมั้ย? “ก็เป็น ไปได้นะครับ ถ้าเป็นไปตามเรื่อง แต่มันก็มีช่วงที่ทำให้เข้าใจได้ว่าพระเอกทำมันไปเพราะอะไร เป็นแค่ช่วงหนึ่งที่ทำร้ายจิตใจนางเอกเยอะ หลังจากนั้นก็จะรักกันแต่สารภาพ ไม่ได้ เกลียดได้ไม่เป็นไรครับ ได้อยู่ ถ้าเกิดเค้าชอบเรื่องก็ได้ครับ ถ้าเค้าอินละครเราก็ดีใจ”

การร่วมงานกับเอสเธอร์เป็นยังไงบ้าง?

“สบายง่ายมากครับ เอสเธอร์เป็นคนเก่งมากๆอยู่แล้ว เคยร่วมงานกันเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เรื่อง “เล่ห์รตี” กลับมาเจอกันครั้งนี้ น้องเก่งขึ้นกว่าเดิมอีก ยังน่ารักเหมือนเดิม เรื่องการแสดงน้องดูเติบโตขึ้น มีวุฒิภาวะจากประสบการณ์ต่างๆที่สะสมเก็บเกี่ยว แม้จะเป็นฉากยากๆ แต่แป๊บเดี๋ยวก็ผ่านไปได้ คุยกันได้ทุกเรื่องครับ”

แล้วฉากยากๆของเจษล่ะ? “ส่วนใหญ่ซีนต่างๆที่เป็นการทำร้ายจิตใจนางเอกมันยากหมด มันต้องบาลานซ์ดีๆ เพราะต้องพูดด้วยความโกรธแต่ยังรักอยู่ และต้องแสดงให้คนดูเห็นด้วยว่าพระเอกพูดไปเพราะความผิดหวังเสียใจ โกรธ เป็นหลายระดับของอารมณ์ผสมอยู่ในฉากเดียว บางทีเวลาเราอ่านบทเราชอบรู้สึกว่าคำมันแรงบางอย่างส่วนตัวผมถ้าไม่ใช่ตัวละครก็ไม่อยากจะพูดออกไปให้ผู้หญิงที่เรารักได้ยิน เลยต้องตีความเป็นตัวละครเยอะ”

ใช้พลังเยอะมั้ยกับบทนี้? “ใช้พลังเยอะอยู่ครับ ผมเข้าใจในบทนี้อยู่ประมาณนึงนะ ผมก็มีช่วงชีวิตนึงที่เคยเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่ก็ต้องมาปรับให้เป็นอารมณ์ร้อนแบบผู้ใหญ่ เป็นความแค้น ผิดหวัง”

เรื่องนี้ท้าทายเรายังไง? “มันมีหลายช่วงของละครมากที่พระเอกเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบเลยสำหรับนางเอก รักกัน เข้าใจผิด แก้แค้น เรื่องครอบครัวพ่อแม่ลูก”

เลิฟซีนเยอะมั้ย? “ไม่เยอะนะครับ พี่แมนผู้กำกับเค้าเก่งใช้ภาพเล่ามากกว่า”

...

ถึงตอนนี้เป็นนักแสดงมากี่ปีแล้ว?

“10 ปีแล้วครับ ถามว่าจากวันแรกถึงวันนี้ก็โตขึ้นเยอะครับ ประสบการณ์เยอะขึ้นมาก การทำงานก็พัฒนาไปตามประสบการณ์ แต่ละเรื่องที่เล่น รู้สึกว่าได้อะไรใหม่ๆตลอดเวลา และยังสามารถเก็บเกี่ยวอะไรได้อีกเยอะ”

รีวิว 10 ปีของเจษในวงการหน่อย? “ดีขึ้นทั้งแง่ของงาน แง่ของฝีมือและแง่ของวุฒิภาวะมันสอนเราทุกอย่าง วงการไม่ได้ให้เราแค่ชื่อเสียง หรือเงินทอง มันให้ประสบการณ์ชีวิตด้วยในการเจอผู้คนต่างๆหลากหลาย ทำให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น ทำให้ผมใช้ชีวิตทุกวันแบบเข้าใจคน ไม่ค่อยตัดสินคน เลือกที่จะเห็นใจคนมากกว่าจะไปโกรธคนครับ”

ยังที่มีบทอะไรที่รอคอยจะได้เล่นมั้ย? “อยากเล่นบทคนบ้าครับ บ้าไปเลยอยากให้ละครไทยก้าวไปถึงจุดนั้น ที่คนเปิดรับอะไรที่ต่างออกไปจากขนบที่เราเคยทำกันมา ถ้ามีคนดูเราก็พร้อมจะทำ มันต้องพัฒนาทั้งคนทำและคนดูไปพร้อมๆกัน ผมยังอยากอยู่ในงานที่สามารถพัฒนาวงการเราให้ไปได้กว้างขึ้น ให้คนได้มีตัวเลือกในการดูได้มากขึ้น”

หลายครั้งที่แฟนๆชมเจษว่าออกมาในบทบาทไหนก็เอาอยู่ในเรื่องนั้น? “ดีใจนะครับที่คนชอบ เราก็ตั้งใจทำงาน บทที่ได้รับมันดี งานต่างๆที่ได้รับก็อยู่ในโปรเจกต์ที่ดี ถามว่ากดดันมั้ยก็ไม่กดดันแค่รู้สึกว่าเราต้องตั้งใจต่อไปและพลาดไม่ได้”

...

ชีวิตส่วนตัวช่วงหลังดูเป็นหนุ่มแฟชั่นมากขึ้น?

“ก็เป็นทั้งผมกับผู้จัดการคิดกันว่าเราอยากให้คนได้เห็นเราในมุมต่างออกไปที่เรายอมฉีกตัวเองออกไปบ้าง ถ้าให้ผมเป็นตัวเองในโซเชียลหมดคนก็คงเห็นแต่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ ก็เลยให้เห็นอะไรที่เราพอทำได้”

ฟีดแบ็กแฟนๆดูกรี๊ดกร๊าดเวลาเราเป็นหนุ่มสายแฟชั่น? “คนก็ชอบครับ ก็ดีครับ ก็รู้สึกว่าเราตัดสินใจถูกที่ให้คนได้เห็นมุมนี้ จริงๆมันก็เป็นตัวเราในอีกแบบหนึ่งที่คนไม่เคยเห็นมากกว่า พอมีโอกาสได้ทำก็ดีครับที่คนชอบเราก็ไม่ได้บิดตัวเองขนาดนั้น อะไรที่มันไม่ใช่เราก็บอกทีมเราว่าอันนี้อาจจะไม่ใช่”

เรื่องหัวใจแฟนๆก็ชอบคู่ของเจษ–วิว?

“เราก็เป็นธรรมชาติที่สุดครับ ไม่ได้พยายามทำอะไรให้คนรู้สึกว่ารักกันจัง หวานจังเลย เราเป็นยังไงเราก็เป็นอย่างนั้นครับ ผมว่าคนสมัยนี้ชอบอะไรที่เข้าถึงได้และเป็นธรรมชาติ เราก็คิดว่าเป็นคู่รักธรรมดาคู่หนึ่ง เราเจอกันตอนที่ต่างคนก็ต่างโตประมาณหนึ่งที่พอที่จะเข้าใจได้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของเราไม่ใช่การจะไปทำอะไรเพื่อเสิร์ฟให้คนดูว่าเค้าจะคิดยังไง”

...

ที่ให้สัมภาษณ์ไปว่า 3 ปีหมดโปรแล้ว วิวว่าไงบ้าง? “เค้าก็แซวเราว่าหมดโปรแล้วเหรอๆ จริงๆเค้าก็รู้แหละว่าหมด (หัวเราะ)”

เค้าก็มีพูดมั้ยว่าอยากให้หวานบ้าง? “ก็มีพูดครับ แต่เราก็ไม่อยากทำอะไรที่ไม่ใช่เรา อยากให้เค้าเข้าใจว่าจะให้หวานจนน้ำตาลขึ้นก็ไม่ใช่เรา แต่ถ้าให้สนใจใส่ใจมากขึ้นก็โอเคมันก็ต้องทำ เพราะบางทีเราก็ชินกับการอยู่คนเดียว”

วิวเข้ามาเติมเต็มชีวิตเราด้านไหน? “เค้าก็คอยเตือนเราในหลายๆอย่าง คือผมเป็นคนค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูง อยู่กับตัวเองเยอะ เค้าก็ปรับให้เราเหมือนกัน เราก็บอกว่าความสุขของคนไม่จำเป็นต้องขึ้นกับคนอื่นเสมอไปนะ เราก็สามารถมีความสุขกับการได้ใช้ชีวิตอยู่ในห้องของตัวเอง ซึ่งเค้าก็จะเป็นคนอีกแบบว่าทำไมไม่อย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมไม่ออกมาข้างนอก หลังๆเค้าก็สามารถอยู่ของเค้าเอง หาอะไรทำเองได้ ส่วนเราก็ปรับว่าเราก็ต้องสนใจคนอื่นมากขึ้น ออกมาจากโลกของตัวเองบ้าง”

ทุกวันนี้ยังมีโลกส่วนตัวเยอะมั้ย? “ก็น้อยลงมาแล้วนะ บางทีเราไปเตะบอล ไปเล่นเกม เค้าก็จะรู้ว่าไปเลย 2 ชม. ไม่ไลน์ ไม่โทร. ถ้านานเกินไปก็มีทักบ้าง”

มองถึงอนาคตกับคนนี้มั้ย?

“ก็คิดครับ แต่ยังไม่ได้วางอะไรชัดเจนเป็นแพลน ก็มีถามๆกันในเรื่องที่คิดว่าเราควรจะรู้ก่อน เช่น อยากมีลูกมั้ย อยากแต่งงานยังไง อยู่กันยังไง เป็นเรื่องที่ควรคุยกัน เพราะเรื่องเหล่านี้ถ้าถึงเวลาแล้วมันไม่ลงตัวมันก็คงเสียดายเวลานะ”

อยากให้เป็นคนนี้? “ใช่ครับ เราก็โตกันทั้งคู่แล้ว ไม่ได้มาคบกันเล่นๆ”

ประทับใจอะไรในผู้หญิงคนนี้? “ผมว่าเค้าเป็นคนใส่ใจกับคนที่เค้ารักมากๆ เค้าเป็นคนทุ่มเทกับความรักมาก เราก็มีการหาจุดตรงกลางมันจะมีความเข้าใจของเค้าว่าในเมื่อเค้าทำเพื่อความรัก มันก็ไม่มีอะไรผิด แต่ว่าบางอย่างเรารู้สึกว่ามันไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ หรือไม่ต้องคาดหวังขนาดนั้นก็ได้จากคนอีกคนนึง เราก็บอกเค้าในจุดนั้นว่าถ้าคิดว่าทำเพราะรักแล้วมันเกิดความอึดอัดกับอีกฝ่ายมันก็ต้องลดลงบ้าง ไม่ใช่บอกว่าทำเพื่อความรักแล้วก็ทำมัน ก็ต้องทำให้ไม่ตึงเกินไปกับชีวิตว่าคนรักกันต้องเป็นแบบนี้สิ เหมือนเราก็ผ่านหลายๆอย่างที่เราต้องปรับความเข้าใจกันมามากแล้ว ที่เรารู้สึกว่าต้องเป็นคนนี้เพราะเค้าเป็นคนใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายเหมือนเรา ไม่ได้ติดหรูหราอะไร”

แล้วเคยทำเซอร์ไพรส์อะไรให้เค้ามากที่สุด? “ก็ไม่ว้าวมาก ก็มีวันพิเศษซื้อของให้ ไม่ได้ถึงกับจัดเซอร์ไพรส์ดอกไม้อยู่หน้าบ้าน”

อีกมุมหลายคนก็มองว่าเราเป็นหนุ่มไฮโซ ทายาทตลาดดัง?

“คนเค้าคงอ่านแค่นั้นจากข่าวครับ เพราะพ่อแม่ผมก็ไม่ได้สอนให้เป็นอย่างนั้นและท่านก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นด้วย ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเงินทองวัตถุขนาดนั้น”

วันหนึ่งต้องกลับไปทำงานต่อที่บ้าน? “ใช่ครับ ต้องทำ มันเหมือนเป็นมรดกที่ต้องดูแล แต่ก็มีพี่ชายที่ต้องทำด้วยกัน”

มองอนาคตตัวเองยังไง? “ผมมองแค่งานที่ผมจะทำและทำให้ดีที่สุด เพราะผมเชื่อว่าถ้าเราทำมันได้ดี มันจะส่งผลที่ดีต่ออนาคต ปิดกล้องเรื่องนี้ก็มองเรื่องต่อไปว่าจะเล่นแบบไหนให้ดี คิดไว้ว่าวันนึงเราจะทำจนกว่าโอกาสที่เข้ามาหาเราจะไม่เหลือโอกาสที่มันน่าสนใจให้เราแล้ว”

อะไรเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เจษอยู่ในวงการมาถึง 10 ปี? “ผมว่าความท้าทายแหละครับ แต่ละเรื่องแต่ละงานแตกต่างกัน ทุกครั้งที่ไปกองมันมีความแตกต่างกัน มันไม่เคยเหมือนกัน เรายังสนุกท้าทาย และชอบทำงานตรงนี้ครับ”.

เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย