ในวันอนาคตไกล เป้าหมายอยากกลับบ้านครอบครัวพร้อมหน้า

โปรยเสน่ห์มาแรงพร้อมกับความเป็นศิลปินเต็มตัว เป็นช่วงฉายออร่าของหนุ่มตี๋ลุคคูล “เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม” ที่เคยมองว่าตัวเองทั้งไม่มั่นใจและไม่มีพรสวรรค์แต่ใช้ความทุ่มเทเพื่อพัฒนาตัวเอง ล่าสุดจับคู่ ไอซ์-พาริส อินทรโกมาลย์สุต ในชื่อ JAYLERR × PARIS ค่าย นาดาว มิวสิค ปล่อยซิงเกิลคู่กันครั้งแรกเพลง “ดี๊ดี (UNEXPECTED)” กระแสสุดปัง

กว่าจะเป๊ะได้ขนาดนี้ เจเจ เล่าเรื่องราวเริ่มจาก ช่วงหลังคนได้เห็นมุมศิลปินของเรามากขึ้น? “คงเพราะผมขวนขวาย ก่อนที่จะทำโปรเจกต์ 9×9 (ไนน์ บาย ไนน์) ผมไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองทั้งเรื่องการร้องการเต้น หรือการแสดงบนเวที แต่พอเราได้มาทำ 9×9 และได้อยู่กับเพื่อนๆ มันทำให้สิ่งที่เราทำตอนนั้นมันสนุก และค่อยๆเรียนรู้ไปกับทุกคน ทำให้เรามองเห็นตัวเองว่าจริงๆเราทำได้นี่หว่า ทำให้เราอยากพัฒนาตัวเองต่อ หลังจากนั้นมันเลยเกิดโปรเจกต์ HUMAN ERROR เกิดคอนเสิร์ต MY BOYFRIENDS CON-CERT และเพลงต่างๆซึ่งเราก็เพิ่งค้นพบว่าเราหลงใหลมันจริงๆมานานแล้ว แต่เราไม่เคยมองตัวเอง ผมเป็นคนเสพดนตรีมาตลอด”

...

โปรเจกต์ปีนี้ของเจเจล่ะ? “ปีนี้คิดว่าจะปล่อยเพลงเดี่ยวของตัวเองช่วงกลางปีและปีนี้น่าจะได้ลุยงานเพลง เพลงที่จะปล่อยเป็นตัวผมร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นเพลงที่เขียนเองหมดเลย ถามว่าตื่นเต้นมั้ยก็ตื่นเต้น เอาจริงๆพอเราจบ 9×9 เราจะคุ้นชินกับคนเยอะๆบนเวที พอออกมาลุยคนเดียวบางงานมันก็มีความประหม่าบ้าง น่าจะต้องใช้เวลาสักระยะ”

จากนักแสดงหนุ่มหน้าใหม่ ตอนนี้คนเปิดรับให้เจเจเข้าไปอยู่ในใจว่าเป็นศิลปินตัวจริง? “รู้สึกดีนะครับ ผมก็กลัวนะที่คนจะมองว่าเป็นดาราแล้วมาร้องเพลง กลัวคนไม่เห็นความตั้งใจของเราจริงๆ ซึ่งเราก็ห้ามใครเค้าไม่ได้ ยกเว้นแต่เราจะทำตัวเองให้ดีขึ้นและพิสูจน์ด้วยผลงานที่ส่งออกไป เราเคยโดนสบประมาทวิจารณ์ แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้ เราก็พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ”

ทุกอย่างมันไม่ได้มาอย่างรวดเร็ว แต่เป็นการค่อยๆพัฒนาตัวเอง? “ใช่ครับ อาจจะเหนื่อยกว่าคนอื่น ด้วยความที่เราไม่ได้มีทั้งพรสวรรค์และเราไปไม่ได้เร็วเท่าคนอื่นเลยต้องถีบตัวเองสุดๆและด้วยความที่เรามีชื่อเสียงด้วยการเป็นนักแสดงมาด้วย คนก็ยิ่งจับตาดู ผมมองว่าบางทีคนที่เริ่มมาเป็นนักร้องเลย จะมีความง่ายกว่าตรงที่มันไม่มีใครมากดดันหรือตั้งความหวัง”

ความรักกับสาว “ต้าเหนิง-กัญญาวีร์” ตอนนี้ก็ดูลงตัว ตั้งแต่เปิดตัวเมื่อ 4 ปีก็มีแต่กระแสบวก? “ตอนนี้ทุกอย่างก็ดีครับ เราสองคนไม่ได้อยากปิดแต่แรก เราคิดว่าถ้าเราปฏิเสธปิดเป็นความลับ สุดท้ายวันหนึ่งคนก็รู้อยู่ดีแล้วมันก็จะย้อนกลับมาหาเรา เลยเปิดเลยดีกว่า ถ้าความนิยมเราทั้งคู่มันจะลดลง ดีกว่าเค้ามารู้ทีหลังแล้วเค้าเกลียดเราเลย”

เรียกว่าต้าเหนิงอยู่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต? “อยู่ในทุกอิริยาบถ (ยิ้ม) เค้าเป็นคนที่ซัพพอร์ตผมดีมาก เป็นผมเองที่บางทีลืมโน่นนี่ ทำให้เค้าเสียใจบ้าง ทุกครั้งที่เกิดการทะเลาะหรือผิดใจกัน เราก็จะพยายามปรับปรุงตัวให้ตัวเราดีขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องความใส่ใจ ผมเป็นผู้ชายที่ไม่ค่อยจดจำรายละเอียด หลังๆเรามีงานเยอะมีเรื่องต้องคิดอะไรหลายอย่างเราก็ตกหล่น เค้าจะคอยซัพพอร์ตเรื่องจิตใจและความรู้สึก”

เปรียบเค้าเป็นอะไรในชีวิต? “เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ปรึกษากัน พอเราคบกันมานาน หลังๆมันเลยไม่มีโมเมนต์หวานมาก มีทุกข์มีสุขมีทะเลาะปกติ”

...

เป้าหมายในวงการของเราอยู่ตรงไหน? “ผมอยากกลับบ้านที่ จ.เชียงใหม่”

ตอนนี้อยู่ตรงไหนของเส้นทางนั้น? “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ด้วยความที่ชื่อเสียงเงินทองมันไม่แน่นอน สมมติว่ามันมีจังหวะที่ผมรู้สึกได้ว่ามันเป็นขาลง ผมอาจจะกลับบ้านบ่อยขึ้น หรือถ้าไม่มีตรงนี้แล้วก็อาจจะกลับถาวรเลย ตอนนี้ก็ได้กลับบ่อยขึ้น ด้วยความที่การเรียนที่มหาวิทยาลัยใกล้จบแล้ว ทำให้ผมบาลานซ์ชีวิตที่นี่ ชีวิตครอบครัวได้ยิ่งขึ้นแต่ก็ยังไม่ถึงกับลงตัว เลยได้กลับบ่อยขึ้น พ่อแม่ก็เริ่มแก่ขึ้น น้องก็โตขึ้น ทำให้เราเห็นว่าเราควรกลับไปใช้เวลากับเค้าให้บ่อย”

ทำไมถึงอยากกลับบ้าน ทั้งที่ตอนนี้เหมือนเป็นขาขึ้นในวงการ? “มันมีความรู้สึกตอนที่ทำงานหลายเดือนติดกัน พอกลับไปบ้านทีก็เห็นพ่อแม่ค่อยๆโรยราลง ทำให้เรารู้สึกว่าเวลามันเร็วเหมือนกัน ผมก็อยากให้เวลาเค้าเต็มที่ อุตส่าห์ทำบ้านให้เค้าแต่ให้เค้าอยู่ 3 คนเลยรู้สึกว่าเราต้องไปบ่อยๆ แม่ก็ชอบส่งข้อความมาว่าคิดถึง พ่อก็ชอบส่งเมสเสจมา หลังๆมาผมเริ่มเซนซิทีฟเรื่องที่บ้าน กับงานตรงนี้ที่เติบโต มันเป็นเรื่องของจังหวะโอกาสที่ผู้ใหญ่มอบให้ ผมก็ไม่รู้ว่าถ้ามองไปข้างหน้าอีก 5 ปี ผมจะอยู่ตรงนี้อีกหรือเปล่า อยู่ที่นี่มันก็แฮปปี้นะ แต่บางทีมันก็มีความรู้สึกโดดเดี่ยว เหงา เรามีต้าเหนิง มีเพื่อนๆ แต่เราไม่ได้มีครอบครัวอยู่ตรงนี้ แต่อะไรก็ยังไม่แน่นอนต้องดูเวลานั้นครับ ตอนเข้าวงการแรกๆตั้งแต่หนังเรื่องแรกตอนผมยังเด็กกว่านี้มาก ตอนจะไปโปรโมต ผมก็งอแง ทีมงานก็พูดว่าทำๆไปเหอะ เดี๋ยวไม่รู้จะได้ทำอีกมั้ยนะ ทำให้รู้ว่าชีวิตในวงการมันไม่แน่นอน เราก็ต้องทำให้มันเต็มที่”.