ท่ามกลางภาวะ เงินเฟ้อทั่วไป (ดัชนีราคาผู้บริโภค) เดือนมีนาคม ที่พุ่งกระฉูดขึ้นไปถึง 5.73% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 13 ปี จากราคาพลังงานที่แพงขึ้นจากสงครามรัสเซียยูเครนทำให้ราคาข้าวปลาอาหารแพงขึ้นไปหมด จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจครัวเรือน ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ในฐานะ ประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงถึงอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยใน 12 เดือนข้างหน้าว่า แม้จะมีแนวโน้มสูงกว่ากรอบเป้าหมาย แต่จะกลับเข้ามาอยู่ในกรอบเป้าหมายตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นไปเพราะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในไทย เป็นเงินเฟ้อที่เกิดจากแรงกดดันด้านอุปทาน (cost–push inflation) จากสงครามรัสเซียยูเครน ทำให้ราคาพลังงานแพงขึ้น แต่ แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ในประเทศ (demand–pull inflation) ยังอยู่ในระดับต่ำจากกำลังซื้อยังไม่เข้มแข็งนักวันเดียวกัน กนง.ได้เผยแพร่ผลการประชุม กนง. ล่าสุด วันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา กนง.ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยจะ ขยายตัวได้ 3.2% ในปี 2565 (ลดจากเดิม 3.4%) และ ขยายตัว 4.4% ในปี 2566 (ลดจากเดิม 4.7%) จากการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศ และภาคการท่องเที่ยว แม้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียส่งผลให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น แต่จะไม่กระทบแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมก็ถือว่าเป็นข่าวดี เศรษฐกิจไทยไปต่อแน่นอน ไม่ถดถอยลงไปอีกกนง.ได้เปิดเผยถึง อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (จากดัชนีราคาผู้บริโภค) ในปี 2565 และ 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 4.9 และ 1.7 ตามลำดับ โดยอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าร้อยละ 5 ในไตรมาส 2 และ 3 ในปี 2565 (คนไทยต้องเผชิญภาวะของแพงจากเงินเฟ้อไปอีก 5 เดือน) จากราคาพลังงานที่ส่งผ่านต้นทุนไปที่หมวดอาหารเป็นหลัก ก่อนจะปรับลดลงสู่กรอบเป้าหมายในปี 2566 โดย กนง.ได้ปรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 เป็น 4.9% (จากเดิม 1.7%) และปี 2566 ที่ 1.7% (จากเดิม 1.7%)(กนง.ใช้ ราคาน้ำมันดิบดูไบที่ 100 เหรียญต่อบาร์เรลในปี 2565 และ 90 เหรียญต่อบาร์เรลในปี 2566 เป็นฐานการคำนวณเพิ่มขึ้นจากบาร์เรลละ 69.4 เหรียญในปี 2564)กนง.ยังเสนอแนะรัฐบาลว่า มาตรการภาครัฐ และ การประสานนโยบาย มีความสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ภายใต้สถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง มาตรการทางการคลังควรสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างตรงจุด (ภาษาชาวบ้านก็คือ ไม่ควรแจกเงินแบบประชานิยมไม่ตรงจุด ซึ่งไม่ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว) โดย เน้นการสร้างรายได้ (ก็คือสร้างงานนั่นแหละ) และ การบรรเทาค่าครองชีพในกลุ่มเปราะบางส่วน นโยบายการเงิน กนง.ยังผ่อนคลายต่อเนื่อง (ไม่ขึ้นดอกเบี้ย) รวมทั้ง มาตรการด้านการเงินและสินเชื่อ ช่วยกระจายสภาพคล่องและ ช่วยลดภาระหนี้ โดยเฉพาะ กลุ่มที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ อาทิ มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู มาตรการพักทรัพย์พักหนี้ และมาตรการอื่นๆของสถาบันการเงินควบคู่กับ การผลักดันให้สถาบันการเงินเร่งสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน ให้เห็นผลในวงกว้างที่กลัวกันว่า ไทยจะเกิดภาวะ Stagflation เงินเฟ้อพุ่งแต่เศรษฐกิจชะลอตัว หรือถดถอย กนง.ยืนยันว่า ไทยจะไม่เกิดภาวะ Stagflation แน่นอน เพราะ จีดีพีไทยยังเติบโตได้เร็วกว่าศักยภาพ 3% ปีนี้จะเติบโต 3.2% ปีหน้าเติบโตอีก 4.4% จึงไม่ทำให้เกิด Stagflation กนง.ยังคาดว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาเที่ยวไทยปีนี้ 5.6 ล้านคน ปีหน้าจะเพิ่มเป็น 19 ล้านคน ได้นักท่องเที่ยวเข้ามาขนาดนี้ เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแน่นอน.“ลม เปลี่ยนทิศ”