สำนักข่าว Reuters, BBC, Bloomberg, South China Morning Post และ Forbes รายงานความเคลื่อนไหวของไทยเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 หลัง อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งยกเลิกการฉีดวัคซีนซิโนแวค 2 เข็ม เปลี่ยนเป็นแบบผสมสูตร สองเข็ม สองยี่ห้อ คือ ซิโนแวค (Sinovac) ตามด้วย แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ถือเป็นครั้งแรกกับการนำวัคซีนที่พัฒนาจากจีนและฝั่งตะวันตกมาใช้ร่วมกัน
อนุทินระบุว่า เวลานี้สถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงการระบาดจากไวรัสสายพันธุ์เดลตา ที่ทำให้แนวโน้มการแพร่กระจายของโรคไปยังต่างจังหวัดง่ายขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดที่มีโรงงาน ตลาดค้าส่ง หากไม่มีการควบคุมที่เข้มงวด ตัวเลขผู้ติดเชื้ออาจพุ่งเกินหลักหมื่นรายต่อวัน หรืออาจมีผู้ติดเชื้อสะสมถึงแสนคนต่อสัปดาห์
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เผยมติการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ครั้งที่ 7/2564 เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แบบสลับชนิด โดยนักวิจัย แพทย์ นักวิทยาศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกระทรวงอุดมศึกษา ศึกษาแล้วได้ผลลัพธ์ตรงกันว่า การฉีดวัคซีนสลับชนิดจะทำให้ภูมิคุ้มกันขึ้นสูงและสามารถต้านเชื้อกลายพันธุ์เดลตาได้ดี
มติการประชุมได้กล่าวถึงลำดับการฉีดไว้ว่า “หากเข็มที่ 1 เป็นซิโนแวค เข็มถัดมาควรเป็นแอสตราเซเนกา โดยกำหนดระยะเวลาการฉีดห่างจากเข็มแรกประมาณ 3-4 สัปดาห์ จะทำให้สร้างภูมิคุ้มกันในระดับสูงและรวดเร็ว ใกล้เคียงกับผู้รับวัคซีนแอสตราเซเนกา 2 เข็ม แต่ใช้ระยะเวลาสั้นกว่า”
...
กลับกัน ในกรณีผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 เป็นแอสตราเซเนกา เข็ม 2 ควรเป็นแอสตราเซเนกาเช่นเดียวกัน แต่ต้องเว้นระยะห่างจากเข็มแรก 12 สัปดาห์
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ อนุมัติให้ฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาแก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขหน้าด่าน โดยจะเป็นวัคซีน mRNA หรือวัคซีนของบริษัทอื่นๆ ได้ทั้งหมดแล้วแต่ความเหมาะสม
ด้านความคิดเห็นของบุคลากรทางการแพทย์บางราย ศาสตราจารย์นายแพทย์ มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โพสต์เฟซบุ๊กเห็นด้วยกับการปรับสูตรวัคซีน ซีโซแวคก่อนแล้วค่อยตามด้วยแอสตราเซเนกา เพราะจะมีประสิทธิภาพเหนือกว่าการฉีดซิโนแวคสองเข็ม
นายแพทย์มานพยังระบุอีกว่า ซิโนแวคสองเข็มไม่สามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลตาได้ ตอนนี้ประเทศไทยขาดแคลนแอสตราเซเนกาอย่างมาก เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตไม่สามารถจัดส่งวัคซีนได้ตามที่รัฐวางแผนไว้ การใช้สูตร ซิโนแวคตามด้วยแอสตราเซเนกา จะทำให้รัฐบริหารวัคซีนซิโนแวคที่มีเพียงพอ แต่มีความต้องการต่ำ และมีประสิทธิภาพต่ำกว่าให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อย่างไรก็ตาม มาตรการการฉีดวัคซีนแบบผสมสูตร ควรเป็นมาตรการระยะสั้นในช่วงที่แอสตราเซเนกา และวัคซีนประสิทธิภาพสูงชนิดอื่นอย่าง ไฟเซอร์ (Pfizer) หรือ โมเดอร์นา (Moderna) ยังไม่มาเท่านั้น ควรหยุดสั่งซิโนแวคเพิ่ม เปลี่ยนไปจัดหาวัคซีน mRNA หรือวัคซีนอื่นที่ประสิทธิภาพสูงอื่น เช่น โนวาแวกซ์ (Novavax) มาเป็นวัคซีนหลักจึงเป็นการแก้ปัญหาระยะยาวที่เหมาะสมกว่า
ความคิดเห็นของสื่อต่างประเทศต่อวัคซีนผสมสูตรของไทย
South China Morning Post กล่าวถึงการปรับสูตรฉีดวัคซีนของไทยอาจเชื่อมโยงกับปัจจัยหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือไทยและหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากที่รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ แต่ยังคงติดเชื้อโควิด-19
ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขไทย ระบุว่าบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม มีจำนวน 677,348 คน และติดโควิด-19 แล้ว 618 คน มีพยาบาลเสียชีวิตหนึ่งราย มีเจ้าหน้าที่การแพทย์อยู่ในอาการโคม่าอีกหนึ่งราย
Bloomberg พาดหัวข่าวว่า “ไทยจะเป็นประเทศแรกของโลกที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคตามด้วยแอสตราเซเนกา” จากนั้นนำเสนอข้อมูลการแลกเปลี่ยนวัคซีนของหลายประเทศ อาทิ สหราชอาณาจักรที่กำลังเจรจาแลกวัคซีนกับสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้กับอิสราเอล เพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนวัคซีน ทว่าประเทศไทยใช้นโยบายวัคซีนแบบผสมสูตรแทน
ปัจจุบันไทยฉีดวัคซีนไปแล้ว 12.6 ล้านโดส แบ่งเป็น ซิโนแวค 56 เปอร์เซ็นต์ แอสตราเซเนกา 43 เปอร์เซ็นต์ และซิโนฟาร์ม (Sinopharm) 1 เปอร์เซ็นต์
Forbes กล่าวถึงประสิทธิภาพของซิโนแวคที่รัฐบาลไทยใช้เป็นวัคซีนหลักฉีดให้กับประชาชน แม้ซิโนแวคจะได้รับอนุญาตจากองค์การอนามัยโลก (WHO) แต่ผลวิจัยเรื่องตัวเลขภูมิคุ้มกันโรคที่เฉลี่ยแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้จากผู้ผลิตหลายต่อหลายครั้งมักไม่สอดคล้องกัน ถึงตอนนี้โลกจะยังไม่มีวัคซีนที่สามารถป้องกันโควิด-19 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ด้วยประสิทธิภาพระดับปานกลางของซิโนแวค อาจทำให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้วเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
...
Forbes ยังระบุถึงผลการศึกษาวัคซีนซิโนแวคในชิลี ที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์ พบว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการเกิดอาการร้ายแรงและป้องกันการเสียชีวิต แต่ Forbes ยืนยันว่าข้อมูลดังกล่าวไม่เพียงพอที่จะการันตีถึงการป้องกันเชื้อกลายพันธุ์เดลตา
BBC ระบุไทม์ไลน์การฉีดวัคซีนของไทยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ เวลานี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์เกือบแตะหลักหมื่นคนต่อวัน และอ้างอิงถึงผลการฉีดซิโนแวคของชิลีเหมือนกับ Forbes ประสิทธิภาพการต้านโควิด-19 ของวัคซีนอยู่ที่ 65.9 เปอร์เซ็นต์ ป้องกันอาการหนักร้ายแรง 87.5 เปอร์เซ็นต์ และป้องกันการเสียชีวิตได้ถึง 86.3 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ BBC ยังกล่าวถึงยอดลงทะเบียนจองฉีดวัคซีนโมเดอร์นา ของโรงพยาบาลเอกชน และการจองบนแฟลตฟอร์มช็อปปิ้งออนไลน์ที่ถูกซื้อหมดภายในไม่กี่นาที ที่อาจชี้ให้เห็นถึงความกังวลของประชาชนต่อวัคซีนที่รัฐบาลมีอยู่
Reuters มองการปรับแผนฉีดวัคซีนของรัฐบาลไทยว่า เป็นเพราะเจอประสบการณ์คล้ายกับอินโดนีเซีย เมื่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในอินโดนีเซียซึ่งรับซิโนแวคครบ 2 โดส ติดเชื้อโควิด-19 ก่อนอธิบายถึงกรณีศึกษาจากบุคลากรทางแพทย์ไทย 700 คน ที่ได้รับวัคซีนแล้ว รัฐบาลไทยรายงานว่า วัคซีนซิโนแวคมีอัตราการป้องกันการติดเชื้อช่วง 60 วันแรก อยู่ในระดับดีราว 60-70 เปอร์เซ็นต์ ทว่าตัวเลขดังกล่าวลดลงเรื่อยๆ ในทุก 40 วัน จนทำให้เกิดการติดเชื้อแม้ฉีดวัคซีนแล้ว
นายแพทย์สิระ นันทพิศาล ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวช โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ให้สัมภาษณ์กับ Reuters ถึงประเด็นดังกล่าวว่า บุคลากรทางการแพทย์จะได้รับการฉีดบูสเตอร์เข็มสาม ซึ่งใช้ได้ทั้งไฟเซอร์และแอสตราเซเนกา เมื่อฉีดแล้วจะทำการติดตามผลและตรวจสอบแอนติบอดีต่อไป
...
อย่างไรก็ตาม Reuters ระบุว่า ตัวแทนบริษัทผู้ผลิตแอสตราเซเนกา ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นถึงการตัดสินใจฉีดวัคซีนผสมสูตรของรัฐบาลไทย เนื่องจากนโยบายการฉีดวัคซีนในแต่ละพื้นที่ เป็นเรื่องของรัฐบาลจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจไม่ใช่บริษัทเวชภัณฑ์ผู้ผลิตวัคซีน
WHO เตือนอย่าเพิ่งฉีดวัคซีนแบบผสมสูตร
ไม่ได้มีแค่ไทยที่ฉีดวัคซีนแบบผสมสูตร วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมการที่ปรึกษาแห่งชาติด้านการสร้างภูมิคุ้มกันของประเทศแคนาดา อนุญาตให้ฉีดวัคซีนต่างชนิดได้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ และต้องอนุมัตินโยบายดังกล่าว เพราะพบปัญหาการเกิดลิ่มเลือดจากการฉีดแอสตราเซเนกาเข็มแรก
หลังศึกษาเรื่องการฉีดวัคซีนต่างยี่ห้อ ทั้งผลการศึกษาเบื้องต้นในสเปนและสหราชอาณาจักร พบว่าการฉีดวัคซีนผสมกันระหว่างแอสตราเซเนกากับไฟเซอร์ อยู่ในระดับปลอดภัย ทว่าเกิดผลข้างเคียงช่วง 48 ชั่วโมง หลังจากรับวัคซีนครบสองเข็มมากกว่าการฉีดยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่ง
รัฐบาลแคนาดาระบุ หากเข็มที่ 1 ฉีดแอสตราเซเนกา หรือ โควิชีลด์ (Covishield) ซึ่งเป็นวัคซีนแบบเวคเตอร์ แล้วเกิดเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถรับวัคซีนเดิมได้ การฉีดเข็มที่ 2 สามารถเปลี่ยนเป็นวัคซีน mRNA อาทิ ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นาได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ ขอให้ฉีดวัคซีนชนิดเดียวกันต่อไปจะดีกว่า
มีช่วงหนึ่งที่การกระจายวัคซีนของ COVAX เกิดปัญหาติดขัดล่าช้า หลายพื้นที่ที่ให้ประชาชนฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเข็มแรกแล้วอย่าง เกาหลีใต้ อิตาลี เยอรมนี จำเป็นต้องเปลี่ยนวัคซีนเข็มสองเป็นชนิดอื่น และส่วนมากอนุมัติให้เข็มถัดมาเป็น ไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา ก่อนหลายประเทศจะเกิดการเจรจาแลกเปลี่ยนวัคซีนระหว่างกันภายหลัง เพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนแบบเดียวกันทั้งสองเข็ม
...
หากมองยังกระบวนการผลิตของวัคซีนสองยี่ห้อที่ไทยอนุมัติให้ฉีดร่วมกัน วัคซีนแอสตราเซเนกา มีกระบวนการผลิตโดยใช้เชื้อไวรัสอะดีโน (Adenovirs) ที่จะทำให้เกิดอาการเป็นหวัดในชิมแปนซี มาดัดแปลงพันธุกรรม ทำให้ไวรัสไม่สามารถแบ่งตัวได้อีก และใส่สารพันธุกรรมที่สร้างโปรตีนโคโรนาไวรัส ส่งผลให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้
โดยรวมแล้ว แอสตราเซเนกามีประสิทธิภาพป้องกันโควิด-19 คิดเป็นร้อยละ 70.4 แต่มีผลข้างเคียงเรื่องการเกิดลิ่มเลือดอุดตันโดยเฉพาะเพศหญิงที่อายุน้อย
วัคซีนซิโนแวค มีกระบวนการผลิตจากวัคซีนเชื้อตาย และทางแพทย์ได้แนะนำให้ฉีดกับบุคคลที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โดยฉีดสองครั้ง ห่างกัน 2-4 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มีผลข้างเคียงน้อยกว่าวัคซีนประเภทอื่นๆ ทว่าประสิทธิภาพของวัคซีนในหลายพื้นที่ยังคงมีตัวเลขแตกต่างกันไป และยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพในระยะยาวนานแค่ไหน และต้องฉีดกระตุ้นภูมิเมื่อไหร่
วันที่ 13 กรกฎาคม 2564 หนึ่งวันหลังกระทรวงสาธารณสุขไทยประกาศใช้วัคซีนผสมสูตร โซเมีย สวามินาธาน (Soumya Swaminathan) หัวหน้าทีมวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาเตือนถึงอันตรายจากการออกนโยบายฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แบบผสม หลังทราบว่าหลายประเทศกำลังดำเนินนโยบายดังกล่าว
เธอกล่าวว่า การนำวัคซีนต่างผู้ผลิตมาผสมหรือจับคู่กันเอง ถือเป็นการตัดสินใจที่สุ่มเสี่ยง เพราะตอนนี้ยังไม่มีงานวิจัยใดยืนยันว่าการฉีดวัคซีนแบบผสมจะปลอดภัย ไร้ผลข้างเคียง หรือมีประสิทธิภาพสูงกว่าการเลือกฉีดอย่างใดอย่างหนึ่ง
นอกจากยังไม่มีผลชัดเจน ตัวแทนองค์การอนามัยโลกยังแสดงความกังวลต่ออนาคตอันใกล้ การผสมสูตรเองอาจทำให้สังคมเข้าสู่สถานการณ์ปั่นป่วน เมื่อรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งใช้การฉีดวัคซีนแบบผสม ส่งให้ประชาชนจำนวนมากเริ่มตัดสินใจเลือกฉีดวัคซีนแต่ละเข็มด้วยตัวเอง อาจมีการปกปิดข้อมูลการฉีดวัคซีนของตัวเอง หรือเกิดการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และสร้างความไม่มั่นคงต่อสังคมว่าตกลงแล้วควรฉีดกี่เข็ม เว้นระยะห่างนานเท่าไร หรือควรฉีดยี่ห้อใดกันแน่
แพทย์ไทยบางส่วนยืนยัน สามารถฉีดวัคซีนแบบผสมสูตรได้
ศาสตราจารย์นายแพทย์ ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กถึงประเด็นวัคซีนผสมสูตรว่า
“การสลับชนิดของวัคซีน เราทำมาโดยตลอดและเห็นว่า การให้วัคซีนเข็มแรกเป็นชนิดเชื้อตาย แล้วตามด้วยไวรัส Vector จะกระตุ้นได้ดีมาก การให้วัคซีนวัคซีนเชื้อตายที่เป็นทั้งตัวไวรัส เปรียบเสมือนการทำให้ร่างกายเราเคยติดเชื้อ และมีภูมิคุ้มกันขึ้นมาระดับหนึ่ง หรือสร้างความคุ้นเคยกับระบบภูมิต้านทาน
“เมื่อกระตุ้นด้วยต่างชนิดโดยเฉพาะไวรัสเวกเตอร์ จึงเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า booster effect เหมือนกับคนที่หายแล้วจากโรคโควิด-19 และได้รับวัคซีนเสริมอีก 1 ครั้ง ก็จะมีการกระตุ้นภูมิต้านทานขึ้นได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเราก็ได้ทำการทดลองแล้ว
“การศึกษานี้เราไม่ได้ทำเฉพาะการตรวจวัดภูมิต้านทานเท่านั้น เรายังได้ทำภาวะขัดขวางไวรัส inhibition test ที่สามารถขัดขวางได้ดีมาก เฉลี่ยถึง 95 เปอร์เซ็นต์ และมีหลายรายถึง 99 เปอร์เซ็นต์
“ในทำนองเดียวกันการให้เชื้อตาย 2 เข็ม ยิ่งสอนให้ร่างกายเหมือนกันติดเชื้อจริงแบบเต็มๆ หรือแบบรุนแรง แล้วเมื่อมากระตุ้นด้วยวัคซีนไวรัส Vector จึงมี Booster effect ที่สูงมาก”
หลังมีข่าวเจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลก เตือนเรื่องฉีดวัคซีนแบบผสมสูตร ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา นักไวรัสวิทยา ไบโอเทค สวทช. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana ระบุว่า
"ส่วนตัวผมไม่คิดว่า Dr. Swaminathan จาก WHO ค้านการใช้วัคซีนแบบสลับเข็ม แต่สิ่งที่ค้านคือคนไปขอฉีดแบบนั้นกันเอง คำว่า Public Health agencies (ซึ่งก็คือคณะกรรมการสาธารณสุข + ผู้เชี่ยวชาญ) can [decide] based on available data (บนข้อมูลที่มีในแต่ละประเทศ) ที่อยู่ในทวิตเตอร์ของเธอเองก็ชัดเจนอยู่ในตัวเองแล้ว ความเห็นของนักวิชาการควรใช้สารตรงจากนักวิชาการ ถ้าผ่านการย่อยมาจากสื่อ สาระที่ได้อาจผิดเพี้ยน"
จากนั้น นายแพทย์ยง ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมจากการแถลงข่าวผ่านเฟซบุ๊กกระทรวงสาธารณสุข ว่า หากในอนาคตมีวัคซีนที่ดีกว่า ค่อยหาวิธีการที่ดีกว่า โดยหากมีเชื้อกลายพันธุ์ไปมากขึ้น อาจจะมีวัคซีนที่ผลิตขึ้น เพื่อรับมือกับเชื้อกลายพันธุ์ใหม่ๆ ได้ แต่เวลานี้สายพันธุ์ที่ระบาดในไทยส่วนใหญ่คือเดลตา และมีแนวโน้มระบาดเพิ่มขึ้น เป็นสายพันธุ์ที่หลบเลี่ยงวัคซีนได้ดี และผลการศึกษาการฉีดวัคซีนผสมสูตรโดยละเอียดจะออกมาภายในสิ้นเดือนนี้
“ผมยกตัวอย่างวัคซีนในเด็ก เมื่อผลิตออกมาใหม่ๆ แต่ละบริษัทบอกว่า ต้องไม่ข้ามกัน เข็ม 1 เข็ม 2 เข็ม 3 ต้องใช้ยี่ห้อเดียวกัน ต่อมาแม้กระทั่งวัคซีนท้องเสียโรตา หรือวัคซีนคอตีบ ไอ กรน บาดทะยัก เวลาใครไปฉีดในเด็ก เคยถามไหมว่าลูกฉีดยี่ห้ออะไร ปีนี้ประมูลยี่ห้ออะไร ปีหน้าประมูลได้ยี่ห้ออะไร ไวรัสหรือแบคทีเรียต่างๆ คงไม่รู้หรอกว่าวัคซีนที่ฉีดไปยี่ห้ออะไร”
อ้างอิง