"ดร.ภานุ ตรัยเวช" อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวกับ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ถึงข้อมูลเกี่ยวกับ "พายุโนรู" (NORU) ที่จ่อเข้าประเทศไทยในวันที่ 29 ก.ย.นี้ ถึงประเด็นต่างๆที่ “คุณ” ควรรู้และทำความเข้าใจ...

พายุโนรู น่าวิตกมากแค่ไหน :

“ธรรมชาติของพายุที่มาจากมหาสมุทรแปซิฟิก กว่าที่จะเข้ามาถึงประเทศไทย จะต้องผ่านบรรดาประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ประเทศเวียดนามและประเทศลาวก่อน ซึ่งเมื่อพอพายุขึ้นฝั่งระดับความรุนแรงก็มักจะลดลงและไม่ได้น่าวิตกอะไรมากนัก”

อย่างไรก็ดี อิทธิพลของพายุย่อมทำให้เกิดฝนตกถึงหนักมากในบางช่วงเวลา ก่อนจะค่อยๆเริ่มตกเบาๆสลับกันไป โดยในช่วงที่ตกเบาๆ นั้น อาจจะเป็นการตกในลักษณะกินระยะเวลายาวนานหรือบางทีอาจจะตกทั้งวัน แล้วค่อยสลับไปเป็นตกหนักๆ เป็นต้น ซึ่งตรงจุดนี้ก็คงต้องคอยเฝ้าจับตาดูกันต่อไป

...

พายุโนรูกับอุทกภัยครั้งใหญ่ :

“คำถามสำหรับเรื่องนี้คือ หากห่วงเรื่องปริมาณน้ำฝนจากพายุโนรูจะมาผสมโรงกับน้ำเหนือที่ถูกพร่องลงจนทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่หรือไม่ สิ่งที่ต้องพิจารณา คือ ภาพรวมหลังจากนี้ จะมีพายุลูกอื่นๆตามมาอีกกี่ลูก?”

นั่นเป็นเพราะ...พายุเพียงลูกเดียวไม่สามารถเติมน้ำในเขื่อนจนส่งผลให้เกิดวิกฤตได้ มันจะต้องอาศัยพายุอีกหลายๆลูก จึงจะสามารถทำให้เกิดวิกฤตแบบมหาอุทกภัยปี 54 ได้

ความแรงของฝนจากพายุโนรู :

“หากเป็นพื้นที่เขตเมือง จะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน หรือ น้ำรอระบาย ขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้พื้นที่เขตเมือง ที่พายุโนรูพาดผ่าน จะต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือให้ดี”

พายุลูกใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต :

“ระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม คือ ช่วงฤดูของพายุและจะมีฝนตกหนักที่สุดของประเทศไทย เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะมีพายุลูกใหม่ตามมาหลังจากนี้ จึงยังมีความเป็นไปได้อยู่”

ภาวะโลกร้อนกับระดับความรุนแรงของพายุ :

ตามหลักการแล้ว ภาวะโลกร้อนมีผลต่อการทำให้ระดับความรุนแรงของพายุเพิ่มมากขึ้น ส่วนปีไหนจะมีพายุมากหรือน้อย หรือ มีระดับความรุนแรงเพิ่มมาขึ้นแค่ไหน โดยส่วนใหญ่จะมีการพิจารณาจากปรากฏการณ์เอลนีโญซึ่งจะทำให้อุณหภูมิในมหาสมุทรแปซิฟิกเพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ดีในปี 2565 นี้ ถือเป็นปีของ “ปรากฏการณ์ลานีญา” ซึ่งทำให้อุณหภูมิของมหาสมุทรแปซิฟิกอุ่นกว่าปกติ กระทั่งทำให้มีความชื้นเพิ่มสูงขึ้น และนำไปสู่การทำให้เกิดฝนตกหนักกว่าปกติไปอีกขั้น ซึ่งถือเป็นวัฏจักรตามปกติของธรรมชาติ

เปรียบเทียบ 2554 และ ปี 2565 :

“ในความเห็นส่วนตัวผมคิดว่าไม่เหมือน”

...

หากไปย้อนดูข้อมูลปี 2554 จะพบว่า ปริมาณน้ำแทบจะล้นเขื่อนมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกันยายนของปีนั้นแล้ว ส่วนในปีนี้ เท่าที่ได้ติดตามข้อมูลล่าสุดเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่า ปริมาณน้ำในเขื่อนๆต่างๆ ไม่ได้มีปริมาณสูงเหมือนเช่นในปี 2554 แต่อย่างใด

ข้อควรรู้เกี่ยวกับ พายุ :

“ทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนแล้วแต่ใช้พลังงาน และต้นกำเนิดของพลังงาน คือ แสงอาทิตย์”

พายุ เกิดจากแสงอาทิตย์ไปตกเหนือมหาสมุทร จนกระทั่งทำให้เกิดเป็นความร้อนขึ้นมาจนกลายเป็นความกดอากาศต่ำ พอกลายเป็นความกดอากาศต่ำมันก็จะดูดเอาไอน้ำขึ้นมารวมกัน จนกลายเป็น “พายุ”

ฉะนั้น “น้ำ” จึงเป็นจุดกำเนิดของ “พายุ” ด้วยเหตุนี้เมื่อใดก็ตามที่มันเคลื่อนขึ้นบนฝั่ง นั่นก็แปลว่า “พายุ” ได้เข้าสู่ช่วงท้ายๆของชีวิตมันแล้ว

ด้วยเหตุนี้ “พายุ” ที่มีระดับความรุนแรงมากที่สุดคือ “พายุที่เราไม่รู้จัก” เนื่องจากมันจะเกิดขึ้นในกลางมหาสมุทรที่ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับ “มนุษย์”

...

วิธีการพิจารณาความรุนแรง ของ พายุ :

“หลักๆเลย คือ ปริมาณลม และ ความกดอากาศต่ำช่วงใจกลางพายุ โดยหากมีค่าความกดอากาศยิ่งต่ำ พายุ ก็จะยิ่งมีระดับความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น”

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

ไต้ฝุ่นโนรู บุกไทย 29 ก.ย. เตรียมรับน้ำฝนเฉลี่ย 200-300 มิลลิเมตร

พายุโนรู อ่อนกำลังเป็นโซนร้อน ก่อนเข้าไทย อีสานตอนล่างอ่วม ระวังพื้นที่เสี่ยง กทม.

เช็กความแรงพายุโนรู ฝนมาเร็ว ถล่มซ้ำน้ำท่วม อุบลราชธานี-ศรีสะเกษ สุดเสี่ยง

ทำไมรัฐประหาร “สี จิ้นผิง” เป็นไปไม่ได้! โครงสร้างการเมืองจีนซับซ้อนซ่อนเงื่อน

กรณ์ จาติกวณิช การเดินไปข้างหน้าสู่ยุคใหม่การเมืองไทย