28 กันยายนนี้ พายุโนรู จะเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยทางภาคอีสาน ที่ตอนนี้มีปริมาณฝนสะสมในหลายพื้นที่ ส่งผลให้แม่น้ำชีและมูลไหลเอ่อท่วมพื้นที่การเกษตรแล้ว 2.3 แสนไร่ และการเคลื่อนตัวเข้ามาของพายุโนรู ยังต้องจับตาถึงความรุนแรงต่อจากนี้ ว่าจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่กรุงเทพฯ ในจุดที่น้ำต้องรอการระบายมากน้อยเพียงใด

“ดร.สยาม ลววิโรจน์วงศ์” โฆษกสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA และผู้อำนวยการสำนักประยุกต์และบริหารภูมิสารสนเทศ กล่าวว่า ขณะนี้พายุโนรู ได้เคลื่อนตัวผ่านเกาะลูซอน ประเทศฟิลิปปินส์ จากนั้นจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ทะเลจีนใต้ เข้าตอนกลางของประเทศเวียดนามในวันที่ 27 กันยายนนี้ โดยจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทย วันที่ 28-30 กันยายนนี้ พายุลูกนี้จะทำให้มีฝนตกมากบริเวณ ภาคอีสานตอนกลาง-ตอนล่าง ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออก

“การเคลื่อนตัวของพายุโนรู คาดว่าเข้าสู่ประเทศไทยวันที่ 28 กันยายนนี้ โดยพื้นที่น่าห่วงคือ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และพื้นที่บริเวณลุ่มน้ำชีและมูล เพราะปริมาณน้ำในลำน้ำขณะนี้หลายจุดเกินความจุ จนส่งผลให้บางพื้นที่มีน้ำท่วมและถ้ามีฝนจากพายุเข้ามาอีกจะทำให้มีพื้นที่ถูกน้ำท่วมเพิ่มขึ้น จนส่งผลกระทบต่อประชาชน ขณะเดียวกันอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก ขนาดกลางในพื้นที่ภาคอีสานตอนนี้ ส่วนใหญ่มีน้ำมากเกือบเต็มความจุแล้ว”

จากการเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ลุ่มน้ำชีและมูล 2 เดือนที่ผ่านมา พบว่า มีพื้นที่น้ำท่วมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากปริมาณน้ำล้นเกินความจุของลำน้ำ และคาดว่าการเคลื่อนตัวเข้ามาของพายุโนรู จะส่งผลกระทบซ้ำเติมมากขึ้นในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่อุบลราชธานี ที่เป็นจุดไหลมาบรรจบกันของลำน้ำชีและมูล ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขง

...

ขณะนี้มีพื้นที่เกษตรกรรมบริเวณลุ่มน้ำชีและมูล ได้รับผลกระทบจากน้ำฝนในพื้นที่แล้ว 2.3 แสนไร่ และพื้นที่น้ำท่วมแล้วประมาณ 3 แสนไร่ คาดว่าเมื่อพายุโนรู เคลื่อนตัวเข้ามาจะทำให้มีน้ำฝนเพิ่มขึ้น จนทำให้มีพื้นที่ได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้น

พายุโนรูหลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยทางภาคอีสานแล้ว จะมีทิศทางการเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก ซึ่งอาจส่งผลให้มีฝนตกในภาคกลางเพิ่มมากขึ้น ปกติเมื่อพายุไต้ฝุ่นเคลื่อนตัวเข้าสู่ฝั่ง จะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนและพายุดีเปรสชันตามลำดับ ประกอบกับปัจจัยจากความกดอากาศสูงทางตอนบนของประเทศ หากเข้ามาก็จะช่วยลดความรุนแรงทำให้พายุฝนอ่อนกำลังลงหลังจากเคลื่อนตัวเข้ามาในประเทศไทย

“จากสถิติปริมาณน้ำฝนที่ตกในพื้นที่ลุ่มน้ำชีและมูล ปีนี้ฝนจะมาเร็วกว่า 2-3 ปี ที่ผ่านมาประมาณ 1 เดือน จึงทำให้สถานการณ์น้ำท่วมขณะนี้เป็นวงกว้างและรุนแรงกว่าทุกปี แต่ต้องจับตาปริมาณฝนในเดือนตุลาคมนี้ว่า จะมีพายุเข้ามาซ้ำเติมในพื้นที่อีกหรือไม่”

จากแบบจำลองทิศทางการเคลื่อนตัวของพายุที่มีการคาดการณ์ว่าจะเข้ามาสู่ประเทศไทย และส่งผลกระทบโดยตรงกับประเทศไทยนั้นต้องจับตาดูว่าจะมีปัจจัยจากลักษณะอากาศมาช่วยลดความรุนแรงของพายุลงหรือไม่ ดังนั้นต้องมาจับตาความรุนแรงของพายุโนรูอีกครั้ง หลังจากเคลื่อนตัวเข้าสู่เวียดนามก่อนจะเข้าสู่ไทย

เส้นทางการเคลื่อนตัวของพายุโนรู เป็นเส้นทางปกติของพายุในเดือนกันยายน-ตุลาคมของทุกปี โดยการเคลื่อนตัวของพายุที่ผ่านมาจะเคลื่อนที่เข้าสู่ฝั่งบริเวณไหนนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนตัวของพายุ แต่สำหรับพายุโนรู เบื้องต้นจากการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา คาดว่าพายุจะเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก

กรุงเทพฯ พื้นที่รับน้ำยังเพียงพอกักเก็บ

“ดร.สยาม” วิเคราะห์ผลกระทบของกรุงเทพฯ ว่า จะได้รับผลกระทบจากพายุโนรู ตั้งแต่วันที่ 28 - 30 กันยายนนี้ โดยทำให้ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ แต่ถ้าดูปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและเขื่อนหลักยังสามารถรองรับปริมาณฝนที่จะตกมาเพิ่มเติมได้ จึงไม่ส่งผลกระทบในพื้นที่ตอนล่างเช่น ปทุมธานี กรุงเทพฯ

ขณะนี้น้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เกิดจากฝนที่ตกในพื้นที่ทำให้มีน้ำท่วมขัง เนื่องจากไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน ประกอบกับปัจจัยจากน้ำทะเลหนุนสูง ทำให้บางพื้นที่เกิดน้ำท่วมในช่วงเวลาดังกล่าว

ส่วนมวลน้ำจากภาคเหนือที่หลายคนกังวลว่าอาจไหลมาสมทบในแม่น้ำเจ้าพระยา จนทำให้เกิดน้ำท่วม ขณะนี้น้ำเหนือยังมีปริมาณที่ไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ตอนล่าง เพราะขณะนี้การระบายน้ำของเขื่อนหลักยังอยู่ในปริมาณที่บริหารจัดการได้ ขณะที่พื้นที่แก้มลิง ทุ่งรับน้ำในหลายพื้นที่ ยังสามารถรองรับปริมาณน้ำได้

สำหรับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงต้องติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง เพราะการเคลื่อนตัวของพายุโนรู อาจมีการเปลี่ยนทิศทางหรือลดความรุนแรงจากปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบ ดังนั้นการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพื่อจะได้เตรียมความพร้อมหากมีสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน หรือพื้นที่การเกษตรที่จะได้รับผลกระทบจากปริมาณฝนในการเคลื่อนตัวของพายุ.