นิยายไทยรัฐ
ทาสรัก

- แนว
- :
- บทประพันธ์โดย
- :
- บทโทรทัศน์โดย
- :
- กำกับการแสดงโดย
- :
- ผลิตโดย
- :
- ช่องออกอากาศ
- :
- อื่นๆ
- นักแสดงนำ
- :
ทาสรัก ตอนล่าสุด
ปลายรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์...
“วาด” เป็นทาสตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาดูโลกเพราะพ่อแม่เป็นทาสในเรือนของหลวงโอสถ แม้จะเป็นลูกทาสแต่วาดก็ฉลาด ทะเยอทะยาน สนใจใฝ่รู้ ถึงขนาดยอมให้คุณโนรีลูกสาวหลวงโอสถตบตีระบายอารมณ์เพียงเพราะต้องการจะแอบดูแอบฟังคุณโนรีเรียนเขียนอ่าน และยอมให้หลวงโอสถเตะถีบเพียงเพื่อจะได้เข้าไปช่วยงานและหาความรู้ในห้องเก็บยา
แต่ด้วยความฉลาดและช่างพูดช่างเจรจาของวาดทำให้ทาสบางคนเขม่นและหมั่นไส้ โดยเฉพาะเหลือที่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งทุกครั้งเมื่อสบโอกาส และคืนนี้ก็เช่นกัน ขณะวาดนอนหนุนตักแม่วงดูดาวบนท้องฟ้าตรงเฉลียงนอกชาน เหลือที่อยู่ด้านในได้ยินเสียงวาดดังไม่ขาด เหลือบตามองมาพร้อมขมุบขมิบปากอยากด่าเต็มประดา
“แม่จ๋า นั่นดาวตก อุ๊ย ตกลงมาพร้อมกันสองดวงเลย ลงตรงนั้นดวง ตรงนี้ดวง”
“ผู้มีบุญมาเกิดล่ะมั้ง” วงพูดไปไม่ได้ตั้งใจ แต่ลูกสาว กลับตื่นเต้นเป็นจริงเป็นจัง
“จริงหรือ แล้วจะไปเกิดที่ไหนจ๊ะ ตอนข้ามาเกิดมีดาวตกไหมแม่”
พูดขาดคำ เหลือเขวี้ยงกระบุงที่อยู่ใกล้มือเกือบโดนวาดกับแม่ พร้อมส่งเสียงฉุนเฉียวตามออกมา
“อุ๊ย อีวาด ผู้มีบุญที่ไหนจะมาเกิดเป็นทาส...หา! นอนเสียที วันนี้ข้าลงไปลุยสวนทั้งวัน เหนื่อยจะตายแล้ว”
วาดกลัวซะที่ไหน คว้ากระบุงเขวี้ยงกลับไปหาเหลือ “เอ็งจะนอนก็นอนไปสิ ข้าจะคุยกับแม่ข้า เกี่ยวอะไรด้วย”
เหลือฉิวชี้หน้าเอาเรื่อง วาดสู้ตาแถมยังชี้หน้าตอบ แล้วก็หันกลับมาจ๊ะจ๋ากับแม่ต่อ
“แม่จ๋า...แล้วใครเป็นคนกำหนดล่ะจ๊ะว่าดาวดวงไหนไปตกในวัง ดาวดวงไหนไปตกในเรือนทาส...ใครกำหนดก็ไม่รู้นะแม่”
วงไม่มีคำตอบ ได้แต่ลูบหัวลูกด้วยความสงสาร เพราะวงรู้ดีว่าวาดเป็นทาสที่ทะเยอทะยาน เจ็บปวดกับความเป็นทาสมากกว่าทาสคนอื่น...
วันรุ่งขึ้นวาดเสนอหน้าเข้าไปดูหลวงโอสถปรุงยา พอได้โอกาสก็ช่วยหยิบจับส่วนผสม แต่แค่นั้นคงจะไม่มีปัญหาอะไร ถ้าวาดไม่อวดรู้ไปเถียงคุณหลวงเข้า ก็เลยโดนแกใช้เท้ายันเข้าหน้าอกประสาคนโมโหร้ายแบบมือเท้าถึง พอพักกลางวันกลับมากินข้าวที่เรือนทาส วาดยังเจ็บอกไม่หาย แต่พอไผ่ทักถาม วาดก็รีบปั้นยิ้มราวกับไม่เป็นอะไร
“เมื่อคราวที่แล้วคุณหลวงท่านถีบที่เอว ใครๆบอกว่าข้าคงพิการ ข้ายังหายเลย”
“หลวงโอสถอารมณ์ร้ายนัก มีแต่เอ็งคนเดียวที่ชอบไปรับใช้ท่าน เอ็งมันหาเรื่อง”
“อีไผ่ ข้าไม่อยากเป็นทาสตลอดชีวิตหรอกนะ”
“แล้วการอยู่ใกล้คุณหลวงกับคุณโนรีน่ะ มันช่วยให้พ้นจากความเป็นทาสยังไงวะ”
วาดไม่ได้ตอบเพื่อน แต่ตกตอนบ่ายวาดก็ดอดไปยังศาลาที่แม่ครูกำลังสอนคุณโนรีเขียนอ่าน แต่คุณโนรีงัวเงียใกล้หลับเพราะความขี้เกียจ จึงโดนแม่ครูใช้ไม้ตีตาตุ่มจนร้องโอ๊ย
“ถ้าฉันไม่เห็นแก่คุณหลวงโอสถนะ ฉันจะไม่มาเรือนนี้เลย”
“แหม เป็นผู้หญิงจะเรียนเขียนอ่านไปทำไมล่ะจ๊ะแม่ครูจ๋า พ่อบอกจะให้ฉันถวายตัวในวังเสด็จพระองค์หญิงน้อย ที่วังนั้นมีท่านชายหลายพระองค์ไปมาหาสู่จริงไหมจ๊ะ”
แม่ครูเบื่อโนรีเหลือเกิน สอนยากเย็น สนใจแต่จะมีผัว ต่างจากนังวาดที่แม่ครูเหลือบไปเห็นนั่งก้มหมอบใช้นิ้วขีดเขียนตัวหนังสือซ้ำไปมากับพื้น
“อีทาสชั่ว เอ็งทำอะไรของเอ็ง” เสียงทรงอำนาจของแม่ครูทำให้วาดสะดุ้งโหยง
“เปล่าเจ้าค่ะ”
แม่ครูมองวาดอย่างรู้ทัน แต่ต้องดุและกำราบไว้เพราะเป็นแค่ทาส แล้วแม่ครูก็แกล้งทดสอบโดยการตั้งคำถามโนรีก่อน
“ตำรับยาของหลวงโอสถนั้น แผ่นดินนี้หาใครเทียบยาก ตำรับยาเขียวหอมของพ่อหล่อนผสมอะไรบ้างรึ”
โนรีพยายามคิดแต่คิดไม่ออก เลยโพล่งขึ้นมาว่า “คิดแล้วปวดหัว เป็นหม่อมของท่านชายต้องรู้เรื่องนี้ด้วยหรือจ๊ะ”
แม่ครูส่ายหน้าเอือมระอาโนรี ก่อนจะเบนสายตาไปที่วาด “ว่าไงล่ะ อีวาด”
“มีใบมะระหกส่วน ใบน้ำเต้าเจ็ดส่วน ใบพิมเสน แล้วก็...ที่เหลือคงบอกไม่ได้ เพราะเป็นความลับของคุณหลวงเจ้าค่ะ”
แม่ครูตบโต๊ะ ชี้หน้าด่าทันที “บังอาจ อีทาสชั่ว นี่เอ็งรู้ยาทุกตำรับเลยรึเปล่า”
วาดตัวสั่นก้มหน้างุด ยกมือไหว้ปลกๆ “อีวาดกลัวแล้ว อย่าลงโทษอีวาดเลยนะเจ้าคะ”
แม่ครูนิ่งลงเพราะไม่ได้โกรธมาตั้งแต่ต้น เริ่มเก็บหนังสือและของส่วนตัวลงกระเป๋าถือ ขณะที่สายตายังมองโนรีและวาด ปากก็พูดเป็นนัย “คนเป็นนาย อยากเป็นทาส...คนเป็นทาส อยากเป็นนาย”
วาดเข้าใจทันที รีบก้มหน้าลงอีกเพราะกลัวโดนลงโทษ แต่โนรีหน้ายุ่ง สะบัดสะบิ้งรำคาญแม่ครู
“แม่ครู วันนี้โนรีใช้ความคิดมากแล้ว อย่าพูดให้ยากนักเลย มันแปลว่าอะไรหรือจ๊ะ”
“เจ้าเป็นธิดาคุณหลวง แต่อยากไปเป็นทาสผัว แต่อีนี่ หึ...อีวาด แกมันทะเยอทะยานจนเกินตัว ฉันจะดูต่อไปแรงทะยานอยากของแกมันจะพาพ้นจากเรือนทาสจริงหรือไม่”
“โฮ้ย...ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี” โนรีเริ่มเกาหัว แม่ครูเห็นแล้วสุดจะทน ว่าให้อย่างเจ็บๆ
“ส่วนคุณโนรี อย่างเจ้าคงไม่พ้นจากเรือนพ่อไปสู่เรือนผัว เพราะที่นั่นเขาใช้แต่นาผืนน้อยที่แม่ให้มา...ไม่ต้องใช้สมอง” ว่าแล้วแม่ครูก็เดินเชิดจากไป ทิ้งให้โนรีคิดหนักหน้ายุ่งเข้าไปใหญ่ สงสัยว่านาผืนน้อยมันคืออะไร
ooooooo
ออกจากศาลานั้นมาแล้ววาดเดินไปทางท่าน้ำ เห็นแม่หาบน้ำซวนเซเหมือนจะล้มก็รีบวิ่งเข้าไปรับ แล้วซักถามแม่ที่ตัวร้อนเป็นไข้ว่าทำไมถึงต้องมาหาบน้ำเอง
“อีเหลือมันหายไปไหนไม่รู้ ถ้าคุณหลวงเห็นว่าน้ำหมดตุ่มจะโดนเฆี่ยนกันหมด”
วาดกวาดตามองรอบทิศก่อนจะสะดุดที่ใต้พุ่มไม้ พอเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นเหลือหนีงานมานอนเล่น
“อีเหลือ แอบมานอนอยู่นี่เอง หน้าที่หาบน้ำน่ะของเอ็งไม่ใช่รึ” วาดโวยวาย แต่เหลือก็ยังไม่ขยับกาย นอนเถียงหน้าตาเฉย
“ฮื้อ ของข้าแล้วไง แม่เอ็งไม่สบายทำไม่ไหว เอ็งก็ไปทำแทนซิ”
“เกิดเป็นทาสเหมือนกัน ต้องช่วยกัน ข้าไม่ยอมให้แกกินแรงข้ากับแม่หรอก จะลุกขึ้นมาทำเองมั้ย” วาดฉุดกระชากเหลือให้ลุกขึ้น
“โอ๊ย อีนี่ จะยุ่งอะไรกับข้านักหนา...ได้ข่าวว่าวันนี้เอ็งถูกคุณหลวงถีบยอดอกใช่ไหม ตรงไหนนะ ใช่ตรงนี้หรือเปล่า” เหลือยกตีนถีบซ้ำที่เดิมจนวาดกระเด็นไป วงร้องวี้ดตกใจ วาดฮึดสู้เหลือแต่เกิดหน้ามืดทรุดลงกับพื้นลุกไม่ขึ้น เหลือเลยกร่างใหญ่ “เกิดเป็นทาสเหมือนกันก็จริง แต่มือตีนไม่เท่ากันหรอกโว้ย หาบน้ำให้เสร็จนะ ไม่งั้นแกโดนแน่!”
สั่งเสร็จเหลือก็เดินลอยชายออกไป วาดทั้งหมั่นไส้ทั้งเจ็บใจจะตามไปเล่นงานแต่สังขารตัวเองไม่อำนวย จนวงต้องเข้ามาประคอง
“ไม่นะ...ลูก...ไม่ อย่ามีเรื่องเลย เจ็บตัวเปล่าๆ”
“ข้ายอมไม่ได้ มันเอาเปรียบเรา” พูดจบวาดกระอักเลือดออกมาเล็กน้อย แต่แค่นั้นคนเป็นแม่ก็ตกใจร้องไห้โฮออกมา
“เลือด...โธ่ ลูกแม่ ไม่เอานะลูก ไม่เอา พอแล้ว งานแค่นี้แม่ทำได้นะ อย่าเจ็บตัวเพราะแม่เลย”
วงกระวีกระวาดลุกขึ้นแข็งขันไปตักน้ำเพื่อแสดงให้ลูกเห็นว่าตัวเองไม่เป็นอะไร แต่วาดหน้าสลดเพราะรู้ว่าแม่กัดฟันฝืนทน...
หลังเสร็จงานประจำวัน ทาสทั้งหลายกลับมากินข้าวกินปลา ครั้นพอค่ำลงก็แยกย้ายกันพักผ่อน วาดและไผ่ออกมานั่งนอกชานมองไปที่เรือนใหญ่เห็นเหลือกำลังเอาอกเอาใจหวีผมให้คุณโนรีผู้ซึ่งรักสวยรักงามเป็นชีวิตจิตใจ
“น่าหมั่นไส้ อีเหลือมันเอาแต่ประจบคุณโนรี หมั่นขึ้นไปเอาอกเอาใจ หมู่นี้มันถึงวางท่าเขื่องนัก”
คำพูดของไผ่ทำให้วาดอดสะท้อนใจตนเองไม่ได้ คุณโนรีมีทั้งความงามและวาสนา ต่างจากวาดที่เป็นแค่ทาสในเรือนเบี้ย วาดหน้าหม่นลงเล็กน้อย แต่พอแม่วงเข้ามาพร้อมถ้วยยา วาดก็รีบปรับสีหน้าเป็นปกติ
“ยังเจ็บอยู่ไหมลูก นี่ยาสำรับสุดท้ายแล้ว เอ็งกินเถอะ”
“แม่ก็ไม่สบายเหมือนกัน แม่กินเถอะ” วาดมองรู้ว่าเป็นพวกยาครอบจักรวาลกินได้ทั้งคู่ เลยยกช้อนตักยาจะป้อนแม่ แต่แม่รักและห่วงลูกมากกว่าจึงดันช้อนคืนมาให้ แล้วแม่ลูกก็เกี่ยงกันไปมาไม่มีใครกินเสียที จนไผ่นึกขันในความเอื้ออาทรของสองแม่ลูก
“เอ๊า แม่ลูกคู่นี้ เดี๋ยวเถอะยาเทลงมาทั้งถ้วย อีไผ่จะขำเสียให้ลั่นคุ้ง”
แม่ลูกได้ยินแล้วอดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นก็ผลัดกันป้อนคนละคำจนหมดถ้วย
“แม่ ไผ่ คอยดูนะ สักวันข้าจะไปจากเรือนทาส” จู่ๆวาดพูดขึ้นมาด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ แต่ไผ่กลับเห็นเป็นเรื่องเพ้อฝันไปเสียนี่
“โถ...ฝันเป็นคุ้งเป็นแคว นี่เอ็งพูดให้ข้าหัวร่อใช่ไหม ฮะฮ่ะฮ่า”
“ฉันมีพ่อแม่เป็นทาส เกิดมาก็เป็นทาส...หึ ทาสในเรือนเบี้ย ถึงชาตินี้ข้าจะไม่ใช่ลูกคุณหลวง ไม่ใช่เจ้าหญิง แต่ข้าไม่มีวันยอมแพ้ใครหน้าไหนทั้งนั้น!”
วงนิ่งเงียบ ไม่ขัดหรือออกความเห็น เพราะรู้แก่ใจว่าเป็นเรื่องยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร
ooooooo
“เชียงน้อย” เป็นรัฐขนาดเล็กที่อยู่ระหว่างชายแดนสยามและพม่า ปกครองในระบอบกษัตริย์ มีเจ้าหลวงมหาชีวิตที่ชราและป่วยหนักเป็นผู้ปกครอง...
เชียงน้อยร่มเย็นเป็นสุขเรื่อยมา แต่ปัจจุบันกำลังมีปัญหาเพราะความเหิมเกริมมักใหญ่ใฝ่สูงของสมิงสินธูซึ่งเป็นพระอนุชาของเจ้าหลวง และนับวันก็กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างพี่น้องรุนแรงขึ้นทุกที โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ทางการค้ากับพวกฝรั่ง พอถูกเจ้าหลวงตำหนิ สมิงสินธูก็อ้างว่า
“ก็เพราะเกิดเป็นพระอนุชาของเจ้าหลวงนี่ล่ะ เลยต้องคิดถึงผลประโยชน์ของเชียงน้อย”
“ให้เรือรบเข้ามาจอด ก็เท่ากับยกดินแดนให้มันย่ำยี ไอ้น้องชั่ว ฝรั่งมันติดสินบนเจ้าเท่าไหร่”
“โบราณ คร่ำครึ...เอาเถอะ ข้าอายุยังน้อย รอสืบทอดราชบัลลังก์จากท่าน มันจะนานสักกี่ปีกันเชียว”
“ไอ้กบฏ! นี่คิดลองดีกับข้ารึ”
สมิงสินธูยิ้มร้าย เดินเข้าไปคุกเข่าข่มขู่เจ้าหลวงด้วยการแตะปลายมีดสั้นที่โผล่พ้นเอวคล้ายจะดึงออกจากฝัก
“เห็นมีดนี่ไหม ทั้งแก่ ทั้งอ่อนแออย่างเจ้าพี่ จะทนคมมีดได้สักกี่เพลา”
เจ้าหลวงตาเหลือกลาน คิดว่าสมิงสินธูจะทำจริง ทันใดนั้นธนูดอกหนึ่งพุ่งผ่านมือที่จับมีดของสมิงสินธูจนเป็นแผลยาว ทหารของสมิงสินธูสองคนรีบลุกขึ้นป้องกันภัยทันที
ที่หน้าประตูนั่นเอง “อองดิน” นักรบมือฉกาจยืนถือคันธนูสีหน้าอาจหาญเข้มแข็ง
“พญาเหยี่ยวแห่งเชียงน้อย...อองดิน!” สมิงสินธูคำรามหน้าตาแค้นเคือง แต่อองดินหาได้สนใจ หันไปร้องบอกทหารผู้จงรักภักดีต่อเจ้าหลวงด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“กระจายกำลังปกป้องเจ้าหลวง”
ทหารองครักษ์จากข้างนอกหลายนายวิ่งกรูกันเข้ามาปกป้องเจ้าหลวง เผชิญหน้ากับสมิงสินธูและลูกน้องกลางท้องพระโรง ส่วนเจ้าหญิงเอยาวดีและนางติ๊ดพี่เลี้ยงวิ่งหน้าตาตื่นมาจากตำหนักฝ่ายใน เจ้าหญิงรีบไปยืนเคียงข้างเจ้าหลวง ขณะที่อองดินเดินไปหาสมิงสินธู ก้มศีรษะทำความเคารพก่อนจะดึงมีดจากมือพระอนุชาเจ้าหลวงด้วยท่วงท่าสุภาพแต่แววตาดุดันสมเป็นทหารองครักษ์มากความสามารถ
“ขออภัย นอกจากองครักษ์แล้วห้ามใครพกอาวุธเข้ามาในเขตพระราชฐาน”
สมิงสินธูโกรธจัด แต่ประเมินสถานการณ์แล้วเป็นรองจึงยอมอ่อนข้อ
“ได้...ตอนนี้ข้าจะยอมให้ก่อน ข้าขึ้นครองบัลลังก์เมื่อไหร่ หัวของเจ้าจะหลุดจากบ่าเป็นคนแรก”
“ด้วยความยินดี แต่เศียรของท่านและองครักษ์คงต้องหนีให้รอดปลายธนูของข้าไปก่อน” อองดินกล่าวอย่างไม่เกรงกลัว เช่นเดียวกับสายตาของทั้งเจ้าหลวงและเจ้าหญิงที่มองสมิงสินธูอย่างชิงชัง
“สมิงสินธู คนอย่างเจ้าอย่าหวังปกครองเมืองเชียงน้อย ข้าจะสถาปนาตันละวินลูกชายของข้าขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์ ไม่ใช่เจ้า”
“เจ้าชายตันละวินน่ะหรือ ถูกพี่เลี้ยงพาหายไปตั้งแต่สามขวบ ป่านนี้จะมีชีวิตอยู่หรือไม่ยังไม่รู้เลย”
“ไม่จริง! ตันละวินลูกข้ายังมีชีวิตอยู่ ตันละวินยังไม่ตาย”
“เอาเถอะ สักวันพระราชวังแห่งนี้จะเป็นของข้า สำหรับหลานสาวคนสวย ข้าจะสร้างกรงขังให้ที่ลานสรงน้ำ ส่วนเจ้าพี่ หวังว่าคงบรรทมอย่างมีความสุขบนสวรรค์ตรงไหนสักแห่ง”
กล่าวจบ สมิงสินธูก็เดินนำทหารของตนออกไปพร้อมเสียงหัวเราะดังลั่นทั้งคุ้มหลวง พลันเจ้าหลวงก็มีอาการหอบเสียงดังจะเป็นลม เซลงที่บัลลังก์จนเอยาวดีต้องวิ่งเข้าไปประคองด้วยท่าทีตกใจ...
หลังจากตามหมอหลวงมาตรวจอาการเจ้าหลวงที่เป็นลมและมีไข้ขึ้นสูง เอยาวดีเฝ้ามองท่านด้วยความเป็นห่วง และบ่นกับอองดินอย่างแค้นใจเจ้าอาว่าทำเหมือนไม่ใช่พี่น้องกัน ทั้งที่เจ้าหลวงเป็นพี่ชายแท้ๆ
“คนขายชาติพรรค์นั้นไม่ต้องเรียกเจ้าอาหรอกเพคะ” นางติ๊ดโพล่งขึ้นมา
“ข้าหลวงติ๊ด” อองดินปรามเสียงแข็ง นางติ๊ดเลยหน้าจ๋อยรีบขออภัย แล้วอองดินก็หันไปรายงานเจ้าหญิงว่า “เหล่าองครักษ์กำลังประชุมกัน สมิงสินธูมีท่าทางกระด้างกระเดื่องคงก่อการกบฏในไม่ช้า”
เอยาวดีหน้าเสีย และยิ่งเครียดไปกันใหญ่เมื่อได้ยินเจ้าหลวงละเมอเพ้อหาตันละวินผู้ซึ่งเป็นพี่ชายของเธอ
“ตันละวินลูกพ่อ อยู่ไหน กลับมาหาพ่อ กลับมาเชียงน้อยสิลูก”
“เจ้าหลวงกำลังเพ้อ หลายวันนี้ไข้ขึ้นลงหลายครั้ง สุดปัญญาจะรักษา หม่อมฉันเกรงว่า” หมอหลวงกลืนน้ำลายไม่กล้าพูดต่อ เจ้าหญิงเอยาวดีถึงกับปิดปากร้องไห้ จนนางติ๊ดต้องเข้าไปปลอบ
ooooooo
สายวันใหม่ เอยาวดีเข้ามาดูแผนที่เชียงน้อยและสยามประเทศบนข้างฝาด้วยสีหน้าครุ่นคิด โดยมีนางติ๊ด และองครักษ์อองดินเฝ้ามองเธอด้วยความสงสัย
“เจ้าหญิงทรงทอดพระเนตรแผนที่ทำไมพระเจ้าค่ะ”
ไม่มีคำตอบแต่กลับมีคำถามขึ้นมาแทน “ไปเมืองสยาม...ใช้เวลากี่วัน”
อองดินนิ่วหน้าขึ้นมาทันที สนิทกันจนอ่านความคิดออกว่าเจ้าหญิงจะทำอะไร
“รับสั่งถามทำไมเพคะ” นางติ๊ดข้องใจ
“สิ่งที่เจ้าหญิงทรงพระดำริ หม่อมฉันคิดว่าไม่เหมาะ”
“มีพระดำริ...เจ้าหญิงทรงมีพระดำริอะไรหรือท่านอองดิน”
“เมื่อยี่สิบปีก่อนเกิดสงครามกลางเมือง องครักษ์ของเจ้าพี่พาเจ้าพี่ตันละวินเข้าไปหลบซ่อนในเมืองสยาม เจ้าพี่ต้องมีชีวิตอยู่ที่นั่น เจ้าพี่อาจไม่รู้องค์ว่าคือรัชทายาท คือขวัญและกำลังใจของเจ้าหลวง”
นางติ๊ดพยายามคิดตามให้ทันคำพูดเจ้าหญิง “ถ้าเจ้าชายเสด็จกลับเชียงน้อย สมิงสินธูก็หมดสิทธิ์ขึ้นครองราชย์...อืม
อันเนี้ยใครๆก็รู้ แต่ที่ไม่รู้คือ...แล้วเจ้าหญิงมีพระประสงค์จะทรงทำอะไร”
“เราส่งคนไปตามหาเจ้าชายมาตลอด แต่คนที่ส่งไปหายสาบสูญ เราเชื่อกันว่าสมิงสินธูวางกำลังคนไว้ในเมืองสยาม และฆ่าทุกคนที่ไปตามหาเจ้าชาย” อองดินกล่าวหน้าเครียด
“ก็เพราะอย่างนั้นไงล่ะ หญิงถึงต้องทำอะไรสักอย่าง”
“โฮ้ย ตกลงคุยกันเรื่องอะไรเพคะ ใครช่วยบอกอีติ๊ดทีสิเจ้าคะ”
“หญิงจะเดินทางเข้าไปในเมืองสยาม ไปตามหาเจ้าพี่ด้วยตัวหญิงเอง”
“ก็แค่นั้นแหละ” พูดไปแล้วก็สะดุ้งตาเหลือก เสียงหลงเมื่อนึกได้ถนัด “เจ้าหญิงจะทรงลอบเข้าเมืองสยาม!”
“ที่ตามหาเจ้าพี่ไม่พบ เพราะคนที่เราส่งไปเป็นทหารจับสังเกตง่าย แต่ถ้าหญิงไปเอง ไปอย่างลับๆ หญิงน่าจะพบ”
อองดินถอนใจไม่เห็นด้วย เดินไปหยิบดอกไม้ที่วางประดับดอกหนึ่งขึ้นมา
“ดอกไม้นี่เป็นหนึ่งในจำนวนดอกไม้มากมายที่ข้าหลวงหลายสิบคนต้องเก็บมาทำน้ำปรุงถวายทุกวัน เจ้าหญิงทรงทราบไหมว่ามันคือดอกอะไร” เอยาวดีส่ายหน้าช้าๆ “แม้แต่ดอกปีบที่ขึ้นอย่างดาษดื่นจนชาวบ้านเห็นเป็นธรรมดา เจ้าหญิงยังไม่ทรงทราบชื่อ เจ้าหญิงไม่ทรงทราบด้วยซ้ำว่าโลกภายนอกวังหลวงนั้นเป็นอย่างไร เพราะตั้งแต่ประสูติ เจ้าหญิงไม่เคยเสด็จออกไปนอกคุ้มหลวงเลย”
“ท่านเหมือนเจ้าอา เหมือนทุกคน ที่คิดว่าเจ้าหญิงดี แต่อาบน้ำปรุง ไม่มีหัวคิด เพราะอย่างนี้แหละที่จะทำให้หญิงรอด”
นางติ๊ดคิดตามเพราะสิ่งที่เจ้าหญิงกล่าวมามีเหตุผล “อืม...จะไม่มีใครเชื่อว่าเจ้าหญิงกล้าหนีออกนอกวังเข้าไปในแดนสยาม”
“ใช่” สีหน้าเจ้าหญิงเด็ดเดี่ยว
“การเดินทางแบบนั้นเต็มไปด้วยอันตราย หม่อมฉันยอมไม่ได้ หม่อมฉันจะไม่คุยเรื่องนี้อีก” อองดินหันหลังจะเดินออก เจ้าหญิงเอยาวดีส่งเสียงมีอำนาจเรียกไว้ จนเขาต้องหันกลับมาคุกเข่าลงตรงหน้า แต่แล้วเจ้าหญิงกลับสั่งให้เขายืนขึ้นสลับกับคุกเข่าอยู่หลายครั้ง
“ท่านเป็นองครักษ์ประจำตัว ข้าสั่งให้ท่านยืน ท่านก็ ต้องยืน สั่งให้นั่งก็ต้องนั่ง” ว่าแล้วก็ดึงดาบสั้นจากเอวอองดินมาจ่อใกล้คอหอยตนเอง “สั่งให้ตายก็ต้องตาย!”
นางติ๊ดร้องวี้ดคิดว่าเจ้าหญิงบ้าไปแล้ว ขอร้องปากคอสั่นให้วางมีดลง เดี๋ยวผีผลัก
“ว่าไง จะตามหญิงไปดีๆ หรือจะให้หญิงหนีออกไปเอง” เจ้าหญิงจ้องหน้าอองดินรอคำตอบ...อองดินถอนใจหนักๆ เอาจริงขนาดนี้คงขัดพระทัยไม่ได้แล้ว
ooooooo
หลังจากตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้ว คืนนั้นเจ้าหญิงเอยาวดีทรงลอบหนีออกไปจากคุ้มหลวงพร้อมด้วยองครักษ์ อองดินและนางข้าหลวงติ๊ด จุดหมายปลายทางคือเมืองสยามเพื่อตามหาพระเชษฐากลับมาขึ้นครองราชบัลลังก์นครเชียงน้อยสืบต่อจากเจ้าหลวง...
เช้าวันใหม่ที่ชุมชนชาวเชียงน้อยซึ่งพวกเขาหนีจากบ้านเมืองตัวเองเข้ามาทำกินแถบชายแดนเมืองสยาม ทหารสามคนขี่ม้าเข้ามาในชุมชนแล้วทำการขูดรีดเก็บภาษี โดยอ้างเป็นค่าคุ้มครองเพิ่มที่ชาวเชียงน้อยทั้งหลายต้องให้แก่ทางการสยามทั้งที่เมื่อวันก่อนก็เพิ่งมาเก็บไป วันนี้ชาวบ้านหลายคนจึงแข็งขืนไม่ยอม และเกิดการปะทะกันขึ้นเมื่อทหารวางอำนาจข่มเหงกล่าวหาว่าพวกเขาเป็นกบฏ แม้ผู้นำ
ชุมชนพยายามเข้าห้ามก็ไม่เป็นผล จนกระทั่ง ท่านดาบปราบศัตรูปรากฏตัวพร้อมด้วยนายก้านทหารคนสนิท
เพียงครู่เดียว ทหารเลวทั้งสามคนที่คิดจะหลอกเก็บภาษีเข้าพกเข้าห่อตนเองก็ถูกรวบตัวเพื่อเอากลับไปลงโทษ ทำให้ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำต่างพากันโล่งอกโล่งใจ และกล่าวขานชื่นชมท่านดาบรูปงามผู้มากด้วยน้ำใจ
“เราไม่รู้มาก่อนว่าจะมีขุนนางระดับสูงเดินทางมา ขออภัยที่มิได้เตรียมตัวต้อนรับ” ผู้นำชุมชนกล่าวด้วยท่าทีนอบน้อมก่อนจะรับฟังพวกเขาชี้แจงแถลงความจริง
“ท่านผู้นี้ไม่ใช่แค่ทหาร แต่ทรงเป็นเจ้านายเชื้อพระวงศ์ ท่านเดินทางมาจากเมืองหลวง เพราะฎีกาที่ร้องเรียนเข้าไปเรื่องเก็บภาษี”
“พอความทราบฝ่าละอองธุรีพระบาท ทรงเป็นพระราชธุระไต่ถามถึงความเดือดร้อนที่พวกท่านได้รับ จึงเป็นเหตุให้ฉันมาดูแลชาวเชียงน้อยที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร เรามิได้มุ่งเก็บภาษีของท่าน ที่ผ่านมาเป็นเพราะเจ้าเมืองที่นี่แอบอ้างพระราชอำนาจ หาเงินเข้าพกเข้าห่อของตนเอง ฉันให้คนจับตัวเจ้าเมืองไปลงโทษ พร้อมริบทรัพย์สินแล้ว ใครจ่ายเงินพวกมันไปเท่าไหร่จะจัดส่งคืนให้”
ชายหญิงทั้งหลายดีใจมากส่งเสียงอื้ออึง ยกมือขึ้นพนมบ่ายหน้าไปทางวังหลวงโดยพร้อมเพรียง
“เป็นบุญยิ่งแล้ว แม้แต่ลูกนกลูกกาที่มาขออาศัยก็ยังได้รับพระเมตตา ขอจงทรงพระเจริญด้วยเถิด”
ท่านดาบยิ้มพอใจ ครั้นชาวบ้านแยกย้ายกันไปทำงาน ท่านดาบก็เดินชมงานฝีมือและชมความเป็นอยู่ในชุมชนโดยมีผู้นำชุมชนสูงวัยคอยเดินตามรายงาน
“ชาวเชียงน้อยช่างมีฝีมือเสียจริง แล้วนี่ทางบ้านเมืองของพวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ข่าวลือเรื่องการกบฏหนาหูขึ้นเรื่อยๆ สงสารก็แต่เจ้าหลวงกับเจ้าหญิงกายหอม”
“เจ้าหญิงกายหอม” ท่านดาบทวนคำสีหน้าสงสัย
“ก็เจ้าหญิงเอยาวดี เคยได้ยินชื่อไหมขอรับ”
ได้ยินชื่อนี้ ท่านดาบชะงักทันที ก้านเองก็นึกออกจะบอกว่านั่นคือคู่หมั้น...แต่โดนท่านดาบเหยียบเท้าเสียจนไม่กล้า
“แผ่นดินสยามเป็นปึกแผ่นด้วยพระบารมีของพระเจ้า อยู่หัว กระทั่งเมืองเชียงน้อยต้องส่งเจ้าหญิงเอยาวดีเข้ามาถวายตัว” ผู้นำพูดแล้วถอนใจ ทำให้ท่านดาบแปลกใจอยากฟังเหตุผล “เชียงน้อยมีเจ้าหญิงสูงศักดิ์เพียงพระองค์เดียว เราหวังว่าเจ้าหญิงของเราจะได้ถวายงานพระเจ้าอยู่หัวในพระมหาราชวัง”
ท่านดาบอึ้งไป เพราะถูกต่อว่ากลายๆว่าไม่คู่ควร แต่อีกฝ่ายไม่รู้อะไร ยังว่าเรื่อยไปตามใจคิด
“แต่นี่กลับถูกให้หมั้นกับชั้นหลานมีศักดิ์เพียงหม่อมเจ้า”
ก้านซึ่งสนิทสนมกับท่านดาบเป็นอย่างมากได้ทีพ่นคำด่าเต็มเหนี่ยว “นั่นน่ะสิ ยศศักดิ์ต่ำทราม ไม่แน่นะ เกิดหน้าตาพิกลพิการ หรือดำคล้ำเป็นยักษ์ขมูขี มันจะเหมาะสมกับเจ้าหญิงกายหอมไปได้อย่างไร”
ท่านดาบทำท่าคล้ายเมื่อยแขนยกดาบขึ้นวาดไปข้างตัวเฉี่ยวหัวก้านจนหลบวืด หน้าจ๋อย
“เอาล่ะ ใกล้ค่ำแล้ว พวกเราเห็นทีจะต้องขอลา พรุ่งนี้จะได้จัดการพิพากษาพวกเจ้าเมืองใจโฉดให้เสร็จๆไป...ลาล่ะ” ท่านดาบเดินไปขึ้นหลังม้าควบออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ไม่ใช่ที่โดนก้านแกล้งว่าให้ แต่เป็นเพราะไม่พอใจคำพูดผู้นำชุมชน
ก้านกำลังจะขึ้นม้าอีกตัว แต่ต้องชะงักหันกลับมาตามเสียงเรียกของท่านผู้นำที่เหมือนเพิ่งนึกอะไรได้
“จริงสิ ลืมถามไป ท่านชายรูปงามน้ำใจกล้าหาญท่านนี้คงมิธรรมดาเป็นแน่แท้ ท่านมีนามว่ากระไรรึ”
ก้านหัวเราะร่วนก่อนตอบ “ฟังแล้วจำไว้เลยนะ ท่านชายพระองค์นี้มีพระนามว่า หม่อมเจ้าดาบปราบศัตรู โอรสองค์เดียวของเสด็จพระองค์ชายใหญ่ และที่สำคัญเป็นพระคู่หมั้นของเจ้าหญิงเอยาวดีที่เอ็งนินทาอยู่เมื่อกี๊นี้แหละ”
ฟังคำตอบจบ ท่านผู้นำตาเหลือกตกใจแทบหงายหลัง
ooooooo
ในวังเขียวซึ่งเป็นที่พักของนวลหม่อมแม่ของท่านดาบปราบศัตรู หม่อมนวลกำลังคุยจ้อเรื่องบุญวาสนาของตนเองให้เพื่อนฟัง โดยมีนังหนิมสาวใช้คนสนิทคอยเป็นลูกคู่ ระหว่างการคุยโวหม่อมนวลมักส่งเสียงหัวเราะร่วนแหลมปรี๊ดบาดหูเป็นระยะ ส่วนเพื่อนสองคนของหม่อมต่อหน้าก็ดูป้อยอ แต่ใจลึกๆก็ริษยาอยากเห็นหม่อมนวลล่มจมจะได้เก็บไปขยายต่อให้สนุกปาก
“ท่านชายดาบปราบศัตรูลูกชายของอิฉันช่างมีบุญวาสนาหมั้นหมายกับเจ้าหญิงเอยาวดีมาตั้งแต่เล็ก แล้วเชียงน้อยน่ะใครๆก็รู้ มีแต่บ่อพลอยเต็มบ้านเต็มเมือง คอของอิฉันก็เล็กๆแค่นี้จะใส่สร้อยทองฝังพลอยได้สักกี่เส้น”
หม่อมแจ้กับหม่อมกุหลาบหมั่นไส้ แต่ฝืนใจปั้นยิ้มสรรเสริญเยินยอแล้วหัวเราะกันร่วน พลางหยิบขนมเข้าปากชิ้นแล้วชิ้นเล่า จนหม่อมนวลต้องปรามด้วยการส่งแก้วน้ำให้ทั้งคู่ดื่มตามประสาคนงก
ระหว่างนี้เอง ท่านดาบเดินเข้ามาพร้อมก้าน เขายกมือไหว้ทุกคนอย่างมีสัมมาคารวะ
“กลับมาแล้วหรือท่านดาบ หม่อมแจ้กับหม่อมกุหลาบท่านมาเยี่ยมแม่น่ะ ลูกไปเยี่ยมชาวเชียงน้อยได้ข่าวเจ้าหญิงพระคู่หมั้นบ้างไหม” หม่อมนวลทักถามแต่ไม่รอฟังคำตอบจากลูกชาย รีบหันไปบอกเพื่อนว่า “อิฉันส่งจดหมายไปทวงถามว่าจะเสด็จลงมาเมื่อไหร่น่ะเจ้าค่ะ จะได้กราบทูลขอพระราชทานน้ำสังข์”
ท่านดาบหน้าตูมตึงเพราะยังหงุดหงิดไม่หายเรื่องถูกมองว่าไม่คู่ควรกับเจ้าหญิง
“คงไม่รวดเร็วนักหรอกขอรับหม่อมแม่ ทางนั้นคงรู้สึกว่าลูกไม่คู่ควร”
หม่อมทั้งสองหูผึ่ง รู้สึกสะใจ แย่งกันแทรกขึ้นมาเหมือนคล้ายจะดีใจ
“เจ้าหญิงบิดพลิ้วคำมั่นหมายรึท่านดาบ”
“การแต่งงานถูกยกเลิก”
“ท่านชายดาบแห่งวังเขียวจะกลายเป็นหม้ายขันหมาก”
หม่อมนวลเห็นเพื่อนมีทีท่ากระดี๊กระด๊าใส่สีใส่ข่าวเช่นนั้นก็ลุกพรวดกรีดเสียงแหลมโต้แย้ง “ไม่จริ๊ง!” แต่พอเห็นเพื่อนและก้านสะดุ้งสุดตัว หม่อมนวลรู้ตัวรีบสงบสติ ลดเสียงลง “เจ้าหญิงคงรอให้บ้านเมืองเรียบร้อยก่อนน่ะ ลูกของแม่มีทั้งยศ ทั้งเกียรติ ไม่เหมาะสมอะไรกัน”
“หม่อมแม่จดหมายไปทุกปีก็เงียบหาย แค่นี้หม่อมแม่ยังดูไม่รู้อีกหรือว่าเขาไม่อยากแต่งงานกับลูก ที่จริงก็ดี เพราะลูกเองก็ไม่อยากแต่งงานกับผู้หญิงพรรค์นั้น”
“ไปเรียกเจ้าหญิงบ่อพลอย เอ๊ย เจ้าหญิงเอยาวดีแบบนั้นได้ยังไงกันท่านดาบ”
“ผู้หญิงที่วันๆเอาแต่อาบน้ำอบ เฮอะ ได้มาก็เหมือนมีขวดน้ำปรุงอยู่กลางบ้าน” ท่านดาบพูดเสร็จก็เดินหนีไปทันที หม่อมนวลถึงกับหน้าเสีย ขณะที่สองหม่อมแอบตาโตกันว่าได้ข่าวเด็ด!
ooooooo
หลวงโอสถหมกมุ่นกับการปรุงยาเฉกเช่นทุกวัน โดยมีวาดคอยช่วยเหลืออย่างแคล่วคล่อง และนับวันวาดก็ได้ความรู้เรื่องปรุงยาจนเชี่ยวชาญแตกฉาน บางทีหลวงโอสถหลงลืมไปบ้างก็ได้วาดคอยช่วยเตือนความจำ
วันนี้หลวงโอสถปรุงยาแก้ไข้จับสั่นที่กำลังระบาดหนัก พอรู้ว่าวงแม่ของวาดเป็นโรคนี้อยู่จึงมอบยาที่ปรุงเสร็จใส่ห่อผ้าให้วาดเอาไปให้แม่กิน วาดดีใจมากกราบขอบพระคุณคุณหลวงแล้ววิ่งแน่บกลับไปที่เรือนทาสเพราะ
แม่กำลังอาการหนัก แต่ไม่ทันที่วาดจะเอายาให้แม่กิน เหลือก็ให้ทาสชายสองคนเข้ามาแย่งห่อยานั้นไปให้ผัวตัวเองกิน
วาดโกรธแค้นเป็นที่สุดที่โดนแย่งยาไปซึ่งหน้า ต่อสู้ตบตีกับพวกเหลือจนตัวเองบาดเจ็บ ก่อนจะตัดสินใจวิ่งลงจากเรือนทาสมุ่งหน้าไปเรือนคุณหลวงท่ามกลางสายฝน โดยให้ไผ่ช่วยเฝ้าแม่ของตนไว้ก่อน
“คุณหลวง คุณหลวงช่วยด้วย ช่วยบ่าวด้วย” เสียงวาดเอ็ดอึงจนโนรีเปิดประตูเยี่ยมหน้าออกมาดู
“อะไรของเอ็งวะ อีวาด”
“อีเหลือเจ้าค่ะ มันให้คนมาซ้อมบ่าวกับนังไผ่”
“ตีกันอีกแล้ว พวกเอ็งนี่มันยังไงกัน”
“อีเหลือมันแย่งยาของบ่าวไป คุณโนรีเจ้าขา แม่ของบ่าวกำลังจะตาย คุณโนรีช่วยให้ความยุติธรรมด้วยนะเจ้าคะ” วาดทรุดลงนั่ง สองมือจับขาโนรีวิงวอน โนรีกลับสะบัดเท้าหนี ชี้หน้าด่าวาดด้วยความเกลียดชัง
“เอ็งนี่มันจริงๆ สมกับที่นังเหลือมันบอกไม่มีผิด”
“นังเหลือมันมาบอก บอกอะไรเจ้าคะ”
“มันบอกว่าเอ็งน่ะไม่ยอมทำงานทำการ ชอบกินแรงเพื่อน เมื่อวันก่อนเอ็งบังคับให้นังเหลือมันตักน้ำไม่ใช่รึ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ”
“ไม่จริง ไม่จริงเจ้าค่ะ อีเหลือต่างหากที่กินแรงคนอื่น”
“ดูสิ ใส่ความคนอื่นต่อหน้าข้า เรื่องยาอะไรนี่ เอ็งคงเห็นมันเป็นคนโปรด คิดจะแกล้งใส่ความมันอีกใช่ไหม ไปนะ อย่าให้ข้าได้ยินเสียงเอ็งเชียว ไม่งั้นจะเฆี่ยนให้หลังลาย” โนรีกลับเข้าห้องปิดประตูทันที
“คุณโนรี ไม่นะเจ้าคะ บ่าวไม่ได้ใส่ความ มันเอายาของบ่าวไปจริงๆ คุณโนรีเจ้าคะ คุณโนรี...” วาดร้องลั่น น้ำตาไหลพรากอย่างหมดหนทาง แล้ววิ่งกลับไปเรือนทาส บอกกับไผ่อย่างแค้นใจว่า “คุณโนรีเขาไม่เชื่อข้า”
“อะไรกันวะ ทั้งๆที่หน้าของเอ็ง...”
“แผลที่หน้า เลือดที่ปาก คุณโนรีมองไม่เห็น เพราะมันเป็นแผล มันเป็นเลือดของทาส! แค่ทาสคนหนึ่งเท่านั้น!” วาดร้องไห้โฮอย่างอัดอั้นคับแค้น
วงเริ่มชักตาเหลือก ไผ่กับวาดรีบวิ่งไปดู พร้อมด้วย ทาสอีกหลายคนซึ่งพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า วงไม่รอดแน่ แบบนี้จองวัดได้เลย วาดหน้าเสีย ตัดสินใจฉับพลันสั่งให้ไผ่ต้มน้ำไว้ จากนั้นวาดก็วิ่งลงจากเรือนไปอีก
วาดตรงไปสวนสมุนไพรของคุณหลวง เก็บสมุนไพรหลายชนิดเอากลับมาต้มให้แม่กิน แต่กว่าวงจะอ้าปากได้ก็เล่นเอาทั้งวาดและไผ่ทุลักทุเลกันน่าดู
“แม่จ๋า...อย่าเป็นอะไรนะ ชีวิตข้ามีแต่แม่คนเดียวเท่านั้น มีแต่แม่เท่านั้น! แม่จ๋า สักวันข้าจะพาแม่ไปจากเรือนทาส แม่ได้ยินไหม แม่ต้องรอข้านะ ต้องรอดูว่าข้าจะทำได้ไหม...แม่อย่าตายนะแม่ ฮือๆ”
วาดร้องไห้ไปป้อนยาแม่ไป ทาสหลายคนเห็นแล้วสะเทือนใจ อดสงสารสองแม่ลูกไม่ได้
ooooooo
เอยาวดี อองดิน ติ๊ด อยู่ในชุดดำพรางตัว พวกเขาเดินทางด้วยม้าข้ามเขตแดนเชียงน้อยเข้ามาในสยามแล้ว และกำลังจะเข้าเมืองในไม่ช้านี้...
ขณะพักเหนื่อยกันบริเวณลำธารชายป่า ติ๊ดใช้ใบไม้ตักน้ำป้อนเอยาวดี ส่วนอองดินแยกไปเก็บผลไม้ป่ามาให้
“ป่าตรงนี้เป็นเขตแดนสยาม คงปลอดภัยแล้ว เราให้คนไปบอกพระคู่หมั้นที่เมืองหลวงดีไหมเพคะ” ติ๊ดขอความเห็น แต่เอยาวดีกลับย้อนถามว่า จะบอกทำไม? “ให้เอาเสลี่ยงมารับเราสิเพคะ นี่เจ้าหญิงจะไม่เข้าไปพักที่วังเขียวของพระคู่หมั้นหรอกหรือเพคะ”
“ถ้าเข้าไปที่วังเขียวหญิงก็ถูกจับแต่งงานน่ะสิ เป็นเจ้าหญิงในวังน่ะมีแต่คนตามหน้าตามหลังจะตามหาเจ้าพี่เจอได้ยังไงกัน”
“เอ๊า แล้วเราจะไปพักที่ไหนกันล่ะเพคะ”
“เราจะปลอมตัวเป็นพ่อค้าเอาของมาขาย เรื่องหญิงเข้าเมืองสยามครั้งนี้จะรู้ไปถึงคนในวังเขียวของพระคู่หมั้นไม่ได้เด็ดขาด”
“นี่หมายความว่าเราต้องรอนแรม ปลอมตัวเป็นสามัญชน”
“ใช่ น่าสนุกดีออก ได้กินน้ำจากลำธาร ได้กินลูกไม้จากต้นไม้แบบนี้ ไม่เห็นลำบากสักนิด”
ติ๊ดไม่ค่อยเห็นด้วย มองไปทางอองดินที่นั่งเงียบ “ท่านอองดิน ท่านก็เห็นด้วยรึ”
อองดินผู้เคร่งขรึมถอนใจมองเจ้าหญิงหน้าเครียด “คงเป็นความผิดที่วาสนาของเราสองคน ถึงต้องมาดูแลเจ้าหญิงแสนซนเช่นนี้” ว่าแล้วอองดินก็ลุกหนีไปอย่างงอนๆ เอยาวดียิ้มกริ่มเพราะสนิทสนมกันจนเดาออกว่าอองดินรู้สึกอย่างไร จึงตามไปงอนง้อเด็ดดอกไม้จากต้นส่งให้เขา
“ดอกไม้นี้หญิงรู้จักนะ กล้วยไม้ป่า เห็นไหม หญิงเห็นมากขึ้น หญิงก็รู้มากขึ้น ชีวิตนอกคุ้มหลวงไม่เคยเห็นแต่ก็เรียนรู้ได้...หญิงให้”
อองดินเพียงแต่มองดอกไม้แต่ไม่รับ เอยาวดีเหนื่อยใจแต่ก็อดทนง้อต่อ
“หญิงไม่ได้ซน แต่อองดินก็รู้นี่ การตามหาเจ้าพี่เป็นเรื่องสำคัญ เราจะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าหญิงเปิดเผยตัวก็เหมือนอยู่ในที่แจ้ง ทั้งเจ้าพี่และหญิงอาจถูกลอบสังหารเมื่อไหร่ก็ได้”
อองดินยังเงียบกริบ แถมจะเดินหนี เอยาวดีจึงรีบดักหน้า
“ทำหน้างอแบบนี้ต้องจี๋” ขาดคำก็ยื่นมือออกไป จะจี้ที่เอวเขา แต่เขาขยับหนี สีหน้าโกรธมาก ดุเสียงดังจน เอยาวดีจ๋อยสนิท
“เจ้าหญิง! ระวังองค์หน่อย!”
ติ๊ดที่เดินตามมามองพลอยตกใจไปด้วย
“ทำไมต้องดุด้วยล่ะ ติ๊ดดูสิ อองดินอารมณ์เสียอะไรไม่รู้”
“เราไม่ใช่เด็กแล้ว แตะต้องตัวหม่อมฉันไม่ได้ ทรงจำข้อบังคับนี้ไม่ได้หรือ”
“เราไม่ได้อยู่ในวังแล้วนี่ จะมีกฎมณเฑียรบาลไปทำไม ใครจะมาเห็น”
“ยิ่งไม่อยู่ ยิ่งแตะไม่ได้ กฎมณเฑียรบาลมีเหตุผลทุกข้อ ต้องรักษาไว้ตลอดเวลา” อองดินเดินหนีหน้าเครียด เอยาวดีมองตามไม่เข้าใจทำไมเขาต้องอารมณ์เสียขนาดนี้
“ท่านอองดินต้องดูแลเราสองคน...เป็นภาระที่หนักมาก ประทานอภัยให้ท่านองครักษ์เถอะนะเพคะ”
เอยาวดีรับฟังคำพูดติ๊ด แต่ยังไงก็ยังหน้ามุ่ยอยู่ดี ส่วนอองดินพอแยกไปอยู่ลำพังคนเดียว เขาหวนคิดถึงอดีตในวัยเด็กที่โตมาพร้อมเอยาวดี สองคนเป็นเพื่อนเล่นกันมาตลอด จนกระทั่งเติบโตราวสิบขวบ นายพลผู้พ่อของอองดินก็ออกคำสั่งกับลูกชายว่า ห้ามเจ้าแตะต้องตัวเจ้าหญิง ห้ามคิดกับเจ้าหญิงเกินคำว่าเจ้านาย เจ้าต้องเป็นเกราะคุ้มภัย เป็นทาสรับใช้ อยู่ด้วยกันจนผูกพันกันตลอดชีวิต แต่เป็นมากกว่านั้นไม่ได้!
อองดินนึกถึงสิ่งที่พ่อสอน สีหน้าเขาหมองลง ความรักที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลาแต่ห้ามแตะต้องและห้ามเป็นคู่รัก ทั้งที่เจ้าหญิงน่ารักออกปานนั้น ทำให้หัวใจคนหนุ่มทุกข์ทรมานแทบอยากดาวดิ้น...เขาพึมพำกับตัวเองว่า
“ห้ามแตะต้องตัวเจ้าหญิงข้าทำได้ แต่ห้ามคิดกับเจ้าหญิงเกินคำว่าเจ้านาย ข้าพยายามแล้วพ่อ แต่ข้าทำไม่ได้...”
ooooooo
วาดกับไผ่ดีใจที่เช้านี้วงหน้าตาแจ่มใสไข้ลด แถมวาดยังยิ้มหน้าบานเมื่อได้รับคำชมจากไผ่ว่าวาดเก่งจริงที่เอาสมุนไพรให้แม่กินจนอาการดีขึ้น...ขณะพูดคุยกันนั้น ไผ่เหลือบเห็นคุณหลวงเดินขึ้นเรือนมา แปลกใจว่าท่านมาทำไม?
ปรากฏว่าคุณหลวงจะมาดูอาการวงที่เข้าใจว่ากินยาตำรับใหม่ของตน แต่พอรู้ว่าวงอาการดีขึ้นไม่ใช่เพราะยาของตน แต่คนที่กินคือชดผัวของเหลือ แล้วตอนนี้มันก็สิ้นใจไปแล้วด้วย คุณหลวงตกใจถึงกับหน้าซีดหน้าเสีย รีบส่งอัฐให้เหลือเอาไปจัดการทำศพผัว
วาดเฝ้ามองคุณหลวงด้วยความสงสัย ขณะที่คุณหลวงเองก็กลัววาดปากโป้งเรื่องยาตำรับใหม่ จึงรีบลงจากเรือนกลับไป แต่วาดก็ยังแอบตามคุณหลวงมาถึงเรือนอีก และได้ยินสองพ่อลูกคุยกัน
“ไอ้ชดมันตายเพราะยาของคุณพ่อหรือเจ้าคะ”
คุณหลวงสะดุ้ง หนาวๆร้อนๆอยู่เหมือนกัน ตวาดลูกสาวเสียงเขียว “โนรี นี่เจ้าพูดอะไรออกมารู้ตัวไหม”
“หมู่นี้คุณพ่อผสมยาผิดหลายครั้ง คราวที่แล้วก็นังเฟื้อง เมื่อวันเพ็ญก่อนก็ไอ้ถม ทางการเขาจะไม่ผิดสังเกตหรือเจ้าคะ ว่าทำไมทาสเรือนเราตายเป็นอันมาก”
หลวงโอสถมองซ้ายขวาระวังตัว พลางก็ด่าลูกสาว ด้วยความโมโห “อีโง่ เขาจะไปสังเกตอะไร ถ้าเจ้าไม่พูด ต่อให้ทางการรู้ เขาก็ไม่ว่าข้าดอก ข้าเป็นหมอหลวงจะใช้ทาสต่ำพวกนี้เป็นผู้ทดลองยา ก็ถูกต้องอยู่แล้วนี่”
“อืม...ก็จริง ไม่ทดลองกับทาส จะให้ไปทดลองกับหมาแมวที่ไหน”
“ใช้ทาสทดลองยา!” วาดพึมพำ กำมือแน่นคับแค้นใจที่เขาไม่เห็นว่าเราเป็นคน พอขยับตัวจะกลับออกมาวาดพลาดไปโดนตะกร้าหล่นกราวลงมา และเกือบจะโดนคุณหลวงกับโนรีจับได้ ถ้าไม่มีแมวตัวหนึ่งโผล่เข้ามาทำให้สองพ่อลูกหมดความสงสัยว่าใครมาแอบฟัง
วาดเดินหน้าเศร้ากลับมาที่เรือนทาส เห็นไผ่กำลังป้อนข้าวต้มให้วงพร้อมกับเล่าถึงเหลือด้วยความสะใจ
“ใครๆเขาร้องไห้สงสารอีเหลือ แต่ข้าอยากสมน้ำหน้า อีเหลือมันแกล้งเรามานาน กรรมสนอง ฮึ”
“อย่าไปสมน้ำหน้าอีเหลือมันเลย ครั้งนี้เป็นผัวมัน แต่ครั้งหน้าอาจเป็นเรา เป็นแม่เรา หรือเป็นเพื่อนเรา”
“วาด...แกเป็นอะไร หน้าซีดเชียว” ไผ่ถามอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คำตอบ มีแต่เสียงบ่นกลับมา
“ทาสที่เรือนนี้ตายเป็นใบไม้ร่วง คราวละคน...คราวละคน...แบบนี้นี่เอง”
“แกพูดเรื่องอะไรวะ” ไผ่หน้ายุ่งไม่เข้าใจ
วาดนิ่งเงียบไม่ตอบ สีหน้าบ่งบอกความวิตกกังวล
ooooooo
เมื่อเห็นแม่ครูจะมาสอนหนังสือคุณโนรี วาดรีบเข้ามาเลียบเคียงถามแม่ครูว่า “ทาสตายเพราะนายเงิน นายเงินจะถูกลงโทษยังไงเจ้าคะ”
“เอ็งถามทำไม ที่นี่มีทาสตายงั้นรึ”
“อีวาด!” เสียงหลวงโอสถดังขึ้นจนวาดสะดุ้งโหยงกลัวคุณหลวงจะได้ยินคำถามของตน “เอ็งรบกวนแม่ครูเรื่องใด”
“เปล่าเจ้าค่ะ...เปล่า”
หลวงโอสถมองวาดสายตาคมกริบท้าทาย “ข้าถามแทนเอ็งก็ได้ มันต้องการถามแม่ครู เพราะหมู่นี้ทาสที่เรือนหลวงโอสถตายเป็นใบไม้ร่วง มันเลยอยากรู้ว่าแม่ครูจะคิดเห็นประการใด”
วาดตกตะลึงนึกไม่ถึงว่าหลวงโอสถจะกล้าถามตรงๆ แม่ครูจากที่ตกใจก็ทำเฉยเสีย เพราะถ้าหลวงโอสถเอ่ยปากเองก็คงไม่มีอะไร ไม่งั้นใครจะกล้า
“อีวาดคนนี้มันมีปัญญาเกินขนาด คงคิดไปว่าทาสพวกนั้นตายเพราะหลวงโอสถ”
“อีวาด นี่เอ็งคิดอย่างนี้จริงรึ อีคนอกตัญญู คุณหลวงยังให้มันนั่งชูคอทำไม ไม่จับมันไปเฆี่ยนล่ะเจ้าคะ” แม่ครูโวยวายตกใจกับความคิดล้ำของวาด
“ฉันเป็นหมอหลวงนะแม่ครู ฉันจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” คุณหลวงแสร้งยิ้มเป็นคนดี
“อีวาด คุณหลวงโอสถท่านปรุงยามากมาย รักษาเจ้านายให้ทรงหายจากพระอาการประชวรมาก็มาก ทาสอย่างเอ็งพึ่งท่านเลี้ยงดูให้ข้าวให้น้ำ หนอย...ยังอุตริคิดไม่ซื่อ”
“บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวจะตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” วาดตบปากตัวเองสองครั้งแล้วก้มหน้างุดกลัวจนตัวสั่น พอมีโอกาสก็รีบหลบออกมาเก็บสมุนไพรตามหน้าที่ประจำวัน แต่อีกครู่คุณหลวงก็ตามออกมาจ้องมองวาดด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด
“อีวาด...ข้อกฎหมายเกี่ยวกับทาส เอ็งมีความรู้แค่ไหน...ตอบมาซิ”
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“นายเงินมีสิทธิ์ลงโทษทาส แต่ไม่มีสิทธิ์ฆ่าทาสของตนให้ตาย อย่างนั้นถือเป็นความผิดอาญา”
“บ่าวไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น บ่าวขออนุญาตไปบดยาที่เรือนด้านในเจ้าค่ะ”
“นั่งลง! ฟัง!” เสียงทรงอำนาจของคุณหลวงทำให้วาดกลัวสุดขีด ทรุดลงนั่งอย่างจำยอม “เมื่อฤดูน้ำหลากปีที่แล้ว คุณพระเจนกระบวนรบท่านลงโทษโบยทาสยี่สิบคน วันต่อมาทาสทั้งหลายตายเกือบครึ่ง เอ็งรู้เรื่องนี้ไหม”
“เคยได้ยินเจ้าค่ะ”
“ใครๆก็รู้ว่าคุณพระทำให้ทาสตาย แต่ไม่มีใครติดใจเอาความ สาเหตุเพราะอะไร”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
ทันใด หลวงโอสถเดินมาจิกผมวาด ดวงตาเขาถมึงทึงน่ากลัวจนวาดตัวสั่นยกมือไหว้ร้องขอชีวิต
“คุณหลวง อีวาดกลัวแล้ว อย่าทำบ่าวเลย”
“เอ็งไม่รู้ ข้าจะตอบให้...เพราะท่านผู้นั้นเป็นคุณพระ ส่วนคนที่ตายเป็นแค่ทาส”
“คุณหลวงเจ้าขา บ่าวกราบขออภัย บ่าวจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ”
“เอ็งคาใจอะไรนัก ถามมาสิ ถามมา ข้าจะตอบทุกคำถามที่เอ็งสงสัย”
“บ่าวแค่หวังว่าชีวิตของทาสอย่างเราจะมีค่ากว่าหมาตัวหนึ่ง...เท่านั้นเองเจ้าค่ะ”
“หึ...ข้าจะบอกอะไรให้ ต่อให้อีกร้อยปีข้างหน้า ถึงเวลานั้นอาจไม่มีคำว่าทาส แต่ชีวิตคนเราก็มีราคาไม่เท่ากันอยู่ดี คนมียศ คนมีเกียรติ กับคนธรรมดา คนรวยกับคนจน”
วาดเจ็บปวดเริ่มน้ำตาคลอกับวาจาดูถูกนั้น “ถึงยังไง... คำว่ายุติธรรมก็ไม่มีวันมีจริงใช่ไหมเจ้าคะ”
“ไม่มีวันมีจริง! เพราะคนก็คือคน คนที่แข็งแกร่งจะอยู่เหนือคนที่อ่อนแอร่ำไป เอ็งมันมีปัญญาเหนือทาสด้วยกัน เอ็งจึงทำใจเรื่องนี้ไม่ได้ และเมื่อเอ็งทำใจไม่ได้ เอ็งจะพบกับทุกข์แสนสาหัส คอยดูไปเถอะ”
พูดจบหลวงโอสถก็ผลักหัววาดไปโขกเข้ากับโอ่งน้ำขนาดใหญ่ วาดเจ็บจนร้องโอ๊ยแล้วร้องไห้ออกมา หลวงโอสถยิ้มเยาะสะใจ ไผ่ที่แอบดูอยู่มุมหนึ่งสีหน้าตกใจ พอเห็นคุณหลวงผละไปก็รีบเข้ามาหาวาด
“อีวาด เอ็งเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมคุณหลวงถึงโมโหนัก ดูซิ เลือดออกเลย”
“แค่เลือดนี้ยังน้อยไป ชีวิตข้าเข้าตาจนเสียแล้วอีไผ่”
ไผ่หน้านิ่วคิ้วขมวดไม่เข้าใจ ส่วนคุณหลวงพอขึ้นเรือนก็ร้องเรียกลูกสาวให้ไปหาสารกรมธรรม์ใบสัญญาทาสของวาดมา โนรีทำหน้างงๆ บอกพ่อว่าอีวาดมันเป็นทาสในเรือนเบี้ย พ่อแม่มันเป็นทาสมาก่อนมันจึงเป็นทาส
“งั้นไปเอาสัญญาของพ่อแม่มันมา”
“คุณพ่อจะทำอะไรหรือเจ้าคะ”
“พ่อจะเอาอีวาดไปขาย ให้มันอยู่เรือนนี้ไม่ได้แล้ว มันมีทั้งสติปัญญา มีทั้งนิสัยไม่ยอมคน ทาสแบบนี้ เหมือนเลี้ยงเสือไว้แว้งกัดตัวเองในภายหน้า”
“แล้วคุณพ่อจะเอามันไปขายที่ไหนรึ”
คุณหลวงยิ้มร้าย มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว...
ooooooo
โรงหญิงนครโสเภณี...เป็นบ้านเรือนไทยขนาดใหญ่อยู่ในแหล่งชุมชนจึงมีทางเข้าทั้งประตูสำหรับเดินเท้าเข้ามาและทางเรือพายมาขึ้นยังท่าน้ำที่ตั้งอยู่หน้าบ้าน
ที่นี่เองที่หลวงโอสถตั้งใจเอาอีวาดมาขายให้จีนฮงหรือคุณพระพาณิชย์ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการ โนรีพอรู้เห็นขณะติดตามคุณหลวงที่มาเจรจากับจีนฮงก็ตกใจไม่น้อย ส่วนเหลือที่พายเรือมาให้นายได้ยินกับหูก็อึ้งไปเหมือนกัน
“คุณพ่อจะขายอีวาดมาเป็นโสเภณีหรือเจ้าคะ”
“โรงโสเภณีแห่งนี้รับซื้อทาสหญิง ให้ราคาถึงสองสามเท่าตัว ตอนกลางวันก็ให้ทาสทำงานทั่วไป พอตกกลางคืนก็ติดโคมเขียวรับแขกจนดึกดื่น”
“ทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนหรือเจ้าคะ”
“ผู้หญิงในนี้เหมือนตกนรก เห็นเขาว่าทนบำเรอชายทั้งพระนครไม่ไหวฆ่าตัวตายไปก็มี”
“มาอยู่ที่นี่ เสืออย่างอีวาดต้องกลายเป็นแมวแน่ๆ”
“อีวาดมันทะเยอทะยานหาทางไถ่ตัว หวังจะหนีให้พ้นจากความเป็นทาส หากมันรู้ว่ามันต้องตกนรกอยู่ที่โรงโสเภณีแห่งนี้ ฮ่ะฮ่า คนปราดเปรื่องอย่างมันคราวนี้คงฉลาดไม่ออก...
พ่อจะเข้าไปคุยกับจีนฮงข้างใน เจ้าให้ทาสพายเรือไปรอพ่อที่ตลาดแล้วกัน”
แม้เหลือจะเป็นอริกับวาด แต่พอรู้เห็นเข้าแบบนี้ก็อดกังวลแทนวาดไม่ได้ ครั้นใกล้ค่ำกลับไปถึงบ้านเจอวาดเอาข้าวปลาอาหารมาให้กินและปลอบใจที่ผัวเพิ่งตายจาก เหลือเห็นถึงความดีจึงบอกวาดให้รู้ตัวว่าคุณหลวงขายเอ็งให้โรงโสเภณีแล้ว คืนพรุ่งนี้คนของที่นั่นจะมาเอาตัวเอ็งไป วาดตกใจแทบสิ้นสติ เหลือเห็นแล้วยิ่งรู้สึกผิด จับมือวาดบีบเบาๆ
“ข้าขอโทษ ข้าไม่นึกเลยว่าข้าจะใส่ความเอ็งจนได้เรื่อง”
“ไม่ใช่เอ็งหรอก ไม่ใช่เพราะเอ็ง แต่เพราะข้านี่ล่ะ ข้าทำตัวเอง”
“ผู้หญิงที่นั่นกลางวันทำงาน กลางคืนบำเรอผู้ชาย ทำงานหนักจนป่วยตายก็มี ฆ่าตัวตายก็มี แล้วเอ็งจะทำยังไงต่อไป”
วาดเข่าอ่อน ดวงตาว้าวุ่นหาทางออกไม่ได้!!
ooooooo
ข่าวการเดินทางมาในสยามประเทศของเจ้าหญิงเอยาวดีรู้ถึงหูคนในวังเขียวเข้าจนได้ หม่อมนวลซึ่งตั้งตาคอยอยู่แล้วเลยร้อนใจจนนั่งไม่ติดด้วยอยากเห็นโฉมหน้าว่าที่สะใภ้ที่จะนำพาความร่ำรวยมหาศาลมาให้ใจแทบขาดถึงขนาดไปเร่งเร้าลูกชายที่กำลังประชุมงานอยู่ในกระทรวงให้รีบไปรับคู่หมั้น แต่ลูกชายก็หาได้ตื่นเต้นยินดีไปกับแม่ แถมยังบอกด้วยว่าตนไม่ว่าง ไม่ว่าจะวันไหนๆก็ตาม
ด้านเอยาวดีกับอองดินและติ๊ด พอเดินทางเข้ามาถึงหัวเมืองก็ปลอมตัวเป็นพ่อค้านำพลอยมาขาย โดยเอยาวดีหลอกคนอื่นว่าตนเป็นเมียของอองดิน ส่วนติ๊ดเป็นพี่สาว ติ๊ดไม่ค่อยชอบใจนักแต่ก็ขัดเจ้าหญิงไม่ได้จึงต้องปล่อยเลยตามเลย
หลังจากทำความรู้จักกับพ่อค้าขาประจำในตลาดได้แล้ว อองดินก็ขอให้เขาแนะนำที่พักสำหรับพวกพ่อค้า จากนั้นไม่นานทั้งสามคนก็พากันไปยังบ้านหลังเล็กๆห่างมาจากตลาดไม่มากนัก ติ๊ดเห็นสภาพบ้านแล้วเกี่ยงว่าเล็กนิดเดียว จะอยู่กันยังไง แต่เอยาวดีท่าทางชอบมากถึงกับออกปากว่า
“ร่มรื่นจัง น่าอยู่ที่สุด เมืองสยามนี่ผู้คนมากมายยิ่งกว่าเชียงน้อยหลายเท่า” พูดพลางก็เดินดูมุมนั้นมุมนี้อย่างร่าเริง “ชาวบ้านเขาอยู่กันอย่างนี้ เราก็ต้องอยู่เหมือนเขา อีกหน่อยก็ชินไปเอง”
“ท่าทางสนุกใหญ่เลยนะเพคะ จะต้องอยู่อย่างนี้อีกกี่เดือนกี่ปีก็ไม่รู้กว่าจะตามหาเจ้าชายพบ”
“อยู่นานเป็นปีไม่ได้ดอก เจ้าหลวงคงไม่รอนานขนาดนั้น” คำพูดอองดินทำให้เอยาวดีชะงัก รอยยิ้มเหือดหายกลายเป็นเศร้าเข้ามาแทน ภาวนาขึ้นมาดังๆหวังว่าจะส่งจิตลอยไปไกลถึงพี่ชาย
“เจ้าพี่...พี่ชายคนเดียวของน้อง เจ้าพี่คงชื่นชอบเมืองสยามมาก ถึงไม่ยอมกลับบ้านเรา เจ้าพี่เจ้าขา...เห็นแก่ประเทศเชียงน้อย ปรากฏตัวออกมาให้น้องพบตัวง่ายๆด้วยเถอะเพคะ”
ooooooo
คืนเดียวกับที่สามชีวิตจากเชียงน้อยได้ที่พักอาศัยกันแล้ว...วาดซึ่งเป็นทาสในเรือนหลวงโอสถกำลังจะถูกคนของโรงโสเภณีมาเอาตัวไป วาดไม่ยอมไปทำงานเยี่ยงนั้นเด็ดขาด ตัดสินใจบอกลาแม่และไผ่ว่าจะหนีไปกบดานแถวหัวเมืองสักพัก วันใดตั้งตัวได้ตนจะเอาอัฐมาไถ่ตัวทั้งสองคนออกไปจากที่นี่
แม่ลูกจากลากันทั้งน้ำตา โดยที่เหลือช่วยถ่วงเวลาคนของโรงโสเภณีเอาไว้ให้ จนเมื่อวาดว่ายน้ำหนีหายไปในความมืดแล้ว ขวดกับสมุนเพิ่งรู้ตัว จึงอาละวาดทำลายข้าวของในเรือนทาสจนพินาศ ก่อนที่ขวดจะกล่าวคำอาฆาตพร้อมกับสะบัดแส้ในมือข่มขวัญจนบรรดาทาสขนลุกเกรียว
“เป็นผู้หญิงยังกล้าหนี อีนี่ไม่ใช่ธรรมดา ก็ดี หมู่นี้
ปลายแส้ของข้าไม่ได้ชิมเลือดทาสมาหลายเพลาแล้ว หนีได้หนีไป ข้าจะตามเอ็งจนสุดหล้าฟ้าเขียว!”
ooooooo
หลังจากเคี่ยวเข็ญจนปากเปียกปากแฉะแล้วลูกชายไม่เล่นด้วย เช้านี้หม่อมนวลจึงวางแผนกับนังหนิมให้จัดเตรียมเรือและข้าวของเพื่อออกเดินทางไปรับเจ้าหญิงเอยาวดีที่หัวเมือง ซึ่งหม่อมนวลหมายใจว่าพอลูกชายรู้เรื่องก็จะรีบตามตัวเองไปเป็นแน่
แต่ผิดคาด ท่านดาบกลับไม่อีนังขังขอบเหมือนเดิม แถมยังประกาศต่อหน้าหม่อมแม่ด้วยว่า “อย่าหมายว่าลูกจะไปรับผู้หญิงคนนั้น ไม่มีวัน!”
หม่อมนวลกำมือแน่น ฮึ่มฮั่มขัดใจเป็นที่สุด...ส่วนที่ตลาดหัวเมืองเพลานี้ เอยาวดี อองดิน และติ๊ดกำลังเดินชมตลาดอย่างเพลิดเพลิน โดยเฉพาะเอยาวดีนั้นท่าทางสนุกมาก เข้าร้านโน้นออกร้านนี้เพื่อชิมอาหารหลากหลายชนิดที่ไม่เคยลิ้มรสมาก่อน
“อร่อยจริง อุ๊ย ดูนี่สิ สวยมาก ดูสิ สวยๆทั้งนั้น”
“เจ้า...เอ่อ...น้องหญิงอย่าวิ่งสิเจ้าคะ” ติ๊ดร้องเตือน
“ตลาดเมืองสยามใหญ่กว่าเชียงน้อยอีก ที่สำคัญ เราได้เดินชมตลาดสบายๆไม่ต้องนั่งชูคอบนเสลี่ยงเหมือนอยู่ที่เชียงน้อย” พูดจบก็เดินมาควงแขนอองดินหน้าตาเฉย อองดินตกใจรีบทำตาดุใส่และพยายามดึงแขนออก
“นี่ ท่านเป็นสามีข้านะ ให้มันองอาจหน่อยสิ”
อองดินมองซ้ายขวาก่อนปรามขึ้นมาเบาๆ “ปล่อยมือเดี๋ยวนี้”
“ไม่ปล่อย หญิงเป็นนายของท่าน ไม่ใช่ท่านเป็นนายของหญิง เลิกสั่งซะที”
อองดินอ่อนใจ ไม่รู้จะทำยังไงดี พลันเขาได้ยินเสียงนกพิราบส่งเสียงเรียก จึงผละไปจากเจ้าหญิงทันที...นกพิราบตัวนี้นำสารจากคนของอองดินในเชียงน้อยมาส่งให้อองดินนั่นเอง
“ท่านสมิงสินธูรู้เรื่องการลอบเสด็จเข้าเมืองสยามของเจ้าหญิงแล้ว และมีคำสั่งให้คนของสมิงสินธูในสยามลอบปลงพระชนม์เจ้าหญิง ขอให้ระวังตัวด้วย” อ่านข้อความนั้นจบ อองดินมีสีหน้าวิตกกังวลทันที จากนั้น เขารีบเดินกลับมากระซิบบอกเจ้าหญิง แล้วพากันกลับไปยังบ้านพักโดยเร็ว คลาดกับคนที่รับงานมาจากสมิงสินธูซึ่งปลอมตัวเป็นขอทาน ทั้งคู่ตั้งใจจะปลงพระชนม์เจ้าหญิงเพื่อหวังรางวัลคือ
ทองคำแท่ง แต่ด้วยความที่ไม่เคยเห็นหน้าเจ้าหญิงมาก่อน รู้ข้อมูลแค่ว่าเจ้าหญิงมีแหวนประจำตัว จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่งานจะสำเร็จ
เมื่อพากันกลับมาถึงบ้านพัก ติ๊ดแตกตื่นเป็นการใหญ่กับข่าวร้ายจากอองดิน แต่เอยาวดีแปลกใจทำไมเจ้าอาถึงรู้เรื่องที่เธอเข้ามาเมืองสยาม อองดินคาดว่าสมิงสินธูคงวางสายสืบไว้ในคุ้มหลวง...
“ต่อไปนี้เจ้าหญิงต้องประทับแต่ในบ้าน ข้าจะออกไปดูรอบๆเมือง ตราบใดที่หาตัวคนของท่านสมิงสินธูที่ตามลอบปลงพระชนม์ไม่ได้ เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
เอยาวดีนิ่งเงียบไม่โต้แย้ง มีเพียงสีหน้าที่แสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
ooooooo
ที่หน้าวังเขียว หนิม และบ่าวคนอื่นๆกำลังจัดเสื้อผ้าข้าวของลงกำปั่นและตะกร้าใหญ่เตรียมเดินทางลงเรือไปหัวเมือง โดยมีหม่อมนวลยืนกำกับอย่างใกล้ชิด
“ท่านดาบคงเล่นแง่กับหม่อมท่านเสียแล้ว เข้ากระทรวงทรงงานแต่เช้า แล้วหายไปเลย ป่านนี้ยังไม่กลับ คงเกรงว่าจะถูกบังคับให้ไปรับเจ้าหญิงที่หัวเมือง” หนิมบ่นขึ้นมา พลางชำเลืองมองหม่อมนวลที่ยังฮึดฮัดขัดใจ
“คนเป็นแม่ ไม่รู้วิธีกำราบลูก ก็มิควรเรียกว่าแม่”
“หม่อมมีวิธีหรือเจ้าคะ”
หม่อมนวลยิ้มมีแผน เรียกบ่าวชายคนหนึ่งเข้ามาใกล้แล้วกระซิบบางอย่าง...จากนั้นไม่นานบ่าวคนนั้นก็ไปโผล่ที่ห้องทำงานของท่านดาบในกระทรวง รายงานให้ท่านดาบทราบว่าหม่อมท่านพาบ่าวไพร่ส่วนหนึ่งลงเรือออกไปหัวเมืองแล้ว
“ไปหัวเมืองแล้วรึ...ฮึ ไปจนได้ ในเมื่อไปเองได้ก็กลับเองได้ อยากไปรับเจ้าหญิงนัก ก็ปล่อยเขาไปรับคนเดียว”
“หม่อมท่านขนเครื่องใช้เครื่องประดับไปจำนวนมาก ข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วว่าหม่อมนวลเดินทางไปหัวเมือง ระหว่างทางโจรก็ชุกชุม บ่าวเกรงว่า...”
“จะถูกโจรปล้น” ก้านโพล่งเสียงดังด้วยความตกใจ ท่านดาบคิดตามหน้าเคร่ง ขณะที่ก้านชักร้อนรน “เอาไงดีขอรับ จะทนใจแข็งดูหม่อมแม่ไปเสี่ยงอันตรายได้หรือขอรับ”
ท่านดาบไม่ตอบ แต่เริ่มว้าวุ่นเป็นห่วงหม่อมแม่
ooooooo
ด้านวาดที่หนีจากเรือนทาสหลวงโอสถแล้วอาศัยเรือจ้างมาถึงตลาดหัวเมือง วาดไม่มีอัฐจึงแบ่งยาสมุนไพรที่พกติดตัวมาเป็นค่าจ้าง...ขณะเดียวกันนั้นที่เรือนหลวงโอสถ ขวดกับสมุนย้อนกลับมาข่มขู่คาดคั้นพวกทาสว่าวาดหนีไปที่ใด เมื่อไม่มีใครตอบขวดก็ทำดุดันจะเฆี่ยนตีทุกคน
ที่สุดทาสคนหนึ่งก็ถูกบีบบังคับจนทนไม่ไหว หลุดปากว่าอีวาดมันหนีไปหัวเมือง ไผ่กับวงแค้นใจตะโกนด่าทาสคนนั้นระงม แต่ขวดกับสมุนไม่สนใจอื่นใด นอกจากจะไปรอจัดการกับวาดที่ประตูเมือง
วันเดียวกัน คณะหม่อมนวลเดินทางถึงจวนเจ้าเมือง ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีทั้งที่พักและอาหารการกิน ขณะหม่อมนวลเพลิดเพลินกับอาหารเลิศรส หนิมที่ชะเง้อชะแง้อยู่หน้าจวนก็กลับเข้ามากระซิบหม่อมว่า
“เอ...ท่านดาบน่าจะมาถึงแล้วนะเจ้าคะ”
“นั่นสิ ให้ไอ้ชื่นมันไปพูดขนาดนั้น ยังใจดำกับแม่ลงคอเทียวรึ”
หม่อมนวลหารู้ไม่ว่า ลูกชายมาถึงแล้วพร้อมทหารคนสนิทแต่หลบอยู่ริมรั้วจวนเจ้าเมือง
“มาซุ่มดูอยู่ตรงนี้ทำไมขอรับ” ก้านสงสัย...แล้วกลายเป็นตกใจเมื่อได้ยินท่านดาบบอกว่า
“กลับได้แล้ว”
“หา! ทรงม้ามาเป็นวัน ยังไม่ได้พักเลย มาถึงก็จะกลับแล้วรึขอรับ”
“ข้าตามดูแลหม่อมแม่อยู่ห่างๆ ตอนนี้ท่านมาถึงจวนเจ้าเมืองอย่างปลอดภัย ถือว่าทำหน้าที่ลูกแล้ว ข้าจะไปปลูกเพิงอยู่ในป่า”
“พักแรมในป่าหรือขอรับ ทั้งที่มาถึงจวนเจ้าเมืองแล้วเนี่ยนะขอรับ”
“โผล่ไปหม่อมแม่ก็ได้ใจสิ หม่อมแม่รู้วิธีกำราบข้า ข้าก็รู้วิธีกำราบหม่อมแม่เหมือนกัน...พักแค่พอหายเหนื่อย
จากนั้นก็กลับพระนคร” ท่านดาบหันกลับไปขึ้นม้าออกจากริมรั้ว ก้านเซ็งเพราะยังเหนื่อยอยู่ แต่ก็จำใจต้องควบม้าของตนตามไป
ooooooo
เอยาวดีทั้งเซ็งทั้งเบื่อที่ต้องเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน พอสบโอกาสที่ติ๊ดง่วนอยู่ในครัว เธอจึงลอบหนีออกไปเล่นน้ำตกคนเดียวสบายใจ โดยไม่รู้ว่าอีกด้านมีชายหนุ่มสองคนขี่ม้าเข้ามา
ท่านดาบและก้านลงจากม้าเพื่อให้ม้าพักดื่มน้ำ ก้านตาดีมองไปเห็นผู้หญิงกำลังเล่นน้ำ
“เฮ้ย...โอ้โห สวยอะไรอย่างนี้” คำอุทานของก้านทำให้ท่านดาบหันไปมองแวบหนึ่ง แล้วทำเฉยเหมือนไม่สนใจแต่พอเห็นก้านเพ่งมองน้ำลายใกล้จะไหลก็เดินเข้าไปตบหัว
“ไอ้นี่ ชายชาติทหารเขาไม่ทำเช่นนี้หรอก ไปโน่น ไปจัดเพิงไว้นอนคืนนี้ โน่นทางโน้น ผู้หญิงเขาจะได้อาบน้ำสะดวกๆ”
“เดี๋ยวไม่ได้หรือขอรับ” ก้านอิดออดเลยโดนยันโครมจนเซถลาออกไป
พอพ้นสายตาก้านแล้ว ท่านดาบก็อดเหลียวมองหญิงสาวนางนั้นอีกไม่ได้ ซ้ำยังขยับเข้าไปใกล้เพ่งมองอย่างชื่นชม “งดงามเหลือเกิน นางไม้หรือเปล่านะ”
ท่านดาบที่อยู่ต้นน้ำเดินไปเด็ดดอกไม้มาดอกหนึ่ง ประทับรอยจูบแล้วปล่อยดอกไม้ลอยไหลไปถึงตัวหญิงสาว พอเห็นเธอหยิบมันขึ้นมาสูดดมและประทับจูบ หัวใจชายหนุ่มก็พองโตคับอก
“จูบแรกของเจ้า...เป็นของข้าแล้วนะ” ท่านดาบพึมพำ แต่แล้วก็ดึงสติตัวเองกลับ ตัดใจบอกลา “เฮ้อ ขืนอยู่นานคงเป็นบ้ากว่านี้ ช่วยไม่ได้ เจ้านั่นล่ะทำให้ข้าลืมความเป็นสุภาพบุรุษ”
ขณะหันหลังจะกลับออกไปจากตรงนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจสุดขีด เขาลืมตัววิ่งลงไปหาเธอ และเห็นตัวการว่าเป็นงูเขียวที่หล่นมาจากต้นไม้ แต่สาวเจ้าก็ยังหลับหูหลับตากรี๊ดไม่หยุด
“งูเขียวน่ะ งูเขียวแค่นั้นเอง ลืมตาดูสิ”
เอยาวดีลืมตาดูงูในมือเขา ไม่ได้สนใจเหมือนกันว่าเขามาได้ยังไงและตนเองกำลังทำอะไรอยู่ พูดคุยด้วยราวกับรู้จักกันมานาน
“มันมีพิษไหม”
“ไม่มีหรอก มันกัดเจ้ารึ กัดตรงไหน ลองดูซิ”
เอยาวดีทำตามคำสั่ง ยื่นแขนดูตัวเองทั้งสองข้าง ท่านดาบก็ช่วยดูด้วย
“ตามตัวล่ะ โดนกัดหรือเปล่า”
เอยาวดีรีบคลำตามตัวและขา...ตรงนี้เองทำให้นึกได้ว่าตนกำลังอยู่กับชายแปลกหน้าในสภาพใด
“ท่านเป็นใคร อ๊าย!” เธอกรี๊ดสุดเสียงพลางถอยห่าง ท่านดาบตกใจรีบหันหลัง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นแสดงความบริสุทธิ์ใจ
“ขออภัย ไม่ได้ตั้งใจ เจ้าร้องเสียงดังมากทำให้ข้าพลอยตกใจไปด้วย เจ้าเป็นใครกัน ข้าเหมือนได้กลิ่นหอมออกมาจากตัวเจ้า” ถามจบแต่ไม่มีคำตอบ มีแต่ความเงียบ ท่านดาบหันกลับมา ปรากฏว่าร่างสวยๆนั้นหายไปเสียแล้ว กระทั่งเห็นพุ่มไม้สั่นไหว จึงรู้ว่าเธอซ่อนตัวอยู่ตรงนั้น
“ข้าไปล่ะนะ ขออภัยอีกครั้งที่ทำให้ตกใจ”
เอยาวดีไม่ส่งเสียง ซ่อนตัวด้วยความอับอาย รู้สึกใจเต้นผิดจังหวะที่อยู่ใกล้ชิดชายแปลกหน้าในสภาพเช่นนี้ ชะเง้อมองตามเขาไปพร้อมกับพึมพำด่า “คนบ้า!”
ooooooo
อองดินอยู่ที่ตลาดหัวเมือง แล้วเผอิญไปได้ยินพ่อค้าแม่ค้าร่ำลือข่าวเจ้าหญิงเชียงน้อยเสด็จมาเมืองสยาม โดยมีคนจากพระนครมารอรับเสด็จอยู่ที่จวนเจ้าเมือง อองดินใจหายวาบ รีบตามชาวบ้านที่แห่แหนไปยังจวนเจ้าเมือง จึงได้เห็นหม่อมนวลเจ้ากี้เจ้าการนำกำลังพลจากราชสำนักมาเตรียมการรอรับเจ้าหญิงอย่างยิ่งใหญ่
ในกลุ่มของชาวบ้านมีขอทานสองคนปะปนอยู่ด้วย พวกเขาพยายามเล็งเป้าหมายทั้งๆที่ไม่รู้จักหน้าค่าตาเจ้าหญิงเอยาวดีมาก่อน
“เราไม่ต้องรู้จักเจ้าหญิง ไม่ต้องรู้ว่าหน้าตาเป็นเช่นใดก็ได้”
“เพราะเจ้าหญิงเอยาวดีจะรอเราอยู่บนเสลี่ยงคันนั้น”
สองขอทานซุบซิบกันแล้วยิ้มเหี้ยม จับจ้องไปยังเสลี่ยงที่ยังว่างเปล่าไม่วางตา...ฝ่ายอองดินที่ยืนมองอยู่อีกด้าน เขาค่อยๆถอยออกจากกลุ่มชาวบ้านไปเงียบๆ บ่ายหน้ากลับไปยังบ้านพักด้วยความร้อนใจ พอไม่เจอเจ้าหญิงก็ยิ่งกระวนกระวายเป็นห่วง จนเมื่อเอยาวดีกลับจากเล่นน้ำ รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่ก็แตกตื่นตกใจไปพร้อมกับพี่เลี้ยง
“อะไรนะ หม่อมแม่ของพระคู่หมั้นก็รู้เรื่องที่เจ้าหญิงเสด็จมาเมืองสยามหรือเจ้าคะ นี่ยังไงกัน ทำไมใครๆก็รู้ ทั้งท่านสมิงสินธู ทั้งหม่อมนวล”
“ไม่ใช่รู้เฉยๆ หม่อมนวลคิดจะจัดเสลี่ยงแห่แหนเจ้าหญิงไปรอบเมือง ขืนไปนั่งบนเสลี่ยงก็เท่ากับเป็นเป้านิ่งให้คนของสมิงสินธูทำร้ายเอาได้”
“เราก็อย่าปรากฏตัวสิ อยากรอก็รอไป เบื่อเมื่อไหร่เดี๋ยวเขาก็กลับพระนครเอง”
“แต่ถ้าเจ้าหญิงอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระคู่หมั้น จะไม่ปลอดภัยกว่าหรือเพคะ”
“ถ้าแสดงองค์ ทุกคนจะเห็นพระพักตร์ จะรู้ว่าพระองค์เสด็จไปที่ใด ทำอะไรบ้าง เท่ากับอยู่ในที่แจ้งให้ศัตรูในที่ลับลอบปลงพระชนม์ง่ายขึ้น”
“แต่ถ้าไม่แสดงองค์ หม่อมนวลก็จะเสียหน้าเพราะมาคอยเก้อ อุตส่าห์จัดขบวนแห่ ไหนประชาชนที่ตั้งตารอ ทางสยามคงหาว่าเราลบหลู่พระเกียรติ เรื่องใหญ่เหมือนกันนะเจ้าคะ”
ด้วยเหตุและผลของทั้งอองดินและติ๊ดทำให้เอยาวดียิ่งกลัดกลุ้ม
ooooooo
วาดมาถึงท่าเรือแถวประตูเมือง แล้วต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นขวดกับสมุนเดินเพ่นพ่าน วาดจำพวกมันได้รีบเอาผ้าปิดหน้าโผล่ไว้แค่ลูกตาแล้วเดินหลบไปอีกทาง
“เอาวะ ตายเป็นตาย คนอย่างอีวาด ยังไงก็ไม่ยอมเป็นนางโลม” วาดบอกกับตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปที่ร้านขายอาวุธ “พี่จ๊ะ ฉันอยากจะขอซื้อมีดสักอัน ฉันไม่มีอัฐ แต่มียาเขียวอย่างดีตำรับหมอหลวงมาแลก พี่ดูสิจ๊ะ”
เจ้าของร้านรับยามาดมๆ แล้วพยักหน้าเก็บยาเอาไว้ “เอาๆ เอ็งชอบอันไหนก็ไปหยิบเอาแล้วกัน ที่หน้าร้านโน่น”
วาดปรี่ไปหน้าร้านเลือกมีดที่วางเรียงรายบนแคร่ ส่วนพวกขวดยังอยู่ที่ท่าเรือ ให้บังเอิญไปได้ยินคนเรือคุยอวดยาเขียวหอม ขวดเอะใจเข้าไปดึงห่อยานั้นมาดม รู้ทันทีว่าเป็นยาเขียวหอมตำรับหลวงโอสถ ขวดจึงคาดคั้นคนเรือให้บอกที่มาของยา และต้องบอกรูปร่างลักษณะของคนที่ให้ยามาอย่างละเอียดด้วย คนเรือกลัวดาบในมือขวดจึงบรรยายจนขวดและสมุนมั่นใจว่าต้องเป็นนังวาดแน่!
วาดเลือกมีดอยู่นานกว่าจะตัดสินใจได้ว่าชอบมีดสั้นในฝักพกพาง่าย พอเอื้อมมือจะหยิบกลับมีอีกมือยื่นเข้ามาถึงมีดเล่มนั้นก่อน มือวาดเลยจับลงบนมือหนาใหญ่พอดิบพอดี
“ข้าเลือกก่อน” วาดเสียงแข็งใส่ชายหนุ่มที่หมายปองมีดเล่มเดียวกัน
“ข้าจับก่อน เห็นไหม” อองดินขยับมือของตนที่ยังจับมีด
“แต่พี่คนขายบอกให้ข้าเลือกอันไหนก็ได้ ข้าจะเลือกอันนี้”
“เป็นผู้หญิง พกมีดไปทำไม”
“เรื่องของข้า”
“แล้วทำไมต้องผูกหน้าผูกตา”
“หน้าข้าเละ หน้าเหมือนผี อยากดูไหมล่ะ”
“จะหน้าเละแค่ไหนก็เป็นผู้หญิง จะจับมือผู้ชายอีกนานเท่าใด”
วาดตกใจรีบดึงมือออก “ได้ ถ้าท่านต้องการมีดเล่มนี้จริงๆ ข้าจะขายต่อให้ เอามาสองตำลึง ถ้าท่านจ่าย ข้าจะยอมเอาเล่มอื่น”
“เห็นแก่ได้”
“คำว่าเห็นแก่ได้ ใช้กับคนที่มีแล้วยังอยากได้เพิ่ม แต่สำหรับข้า คนที่ไม่เคยมีอะไรเลย ใช้คำนั้นไม่ได้ดอก” วาดพูดอย่างขมขื่น พลันก็เหลือบไปเห็นขวดกับสมุนเดินตรงดิ่งมาทางนี้ และดูเหมือนพวกมันจะจำวาดได้แล้วด้วย
“พี่ขวด นังคนนั้นหรือเปล่า แต่งตัวเหมือนที่คนเรือบอกเลย”
“นายโรงโสเภณี!”
ท่าทางตกใจของวาดทำให้ขวดรู้ทันทีว่าใช่ จึงชี้หน้าด่านังทาสชั่ว!
“ขอโทษนะ ข้าจำเป็นต้องใช้มีดนี้จริงๆ” วาดผลักชายหนุ่มตรงหน้าแล้วหยิบมีดสั้นมาพกก่อนวิ่งหนีไป พวกขวดจะวิ่งตาม แต่ถูกอองดินพุ่งพรวดเข้ามาขวางไว้
“นี่เดี๋ยวๆ พี่ชาย หญิงคนนั้นเป็นโจรรึ ทำไมพวกท่านต้องตามนาง”
“มันเป็นทาส ทาสของข้าที่หนีมา แล้วมันธุระกงการอะไรของเจ้า” ขวดวางก้ามผลักอองดิน แต่ฝ่ายนั้นหลบทัน ขวดเลยเซเกือบล้ม
“ข้าแค่ถาม ไม่เห็นต้องรุนแรงนี่”
ขวดมองเขม่นไอ้หนุ่มแปลกหน้า แต่ไม่ว่ากระไรอีก นอกจากชี้หน้าว่าฝากไว้ก่อน...เพราะตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่าต้องจัดการ
ooooooo
พวกนายขวดวิ่งไล่กวดวาดไปในตลาดจนเกิดความชุลมุนวุ่นวาย พอจวนตัววาดก็เตะถีบต่อสู้พวกมันสุดชีวิต แต่กระนั้นผู้หญิงตัวคนเดียวหรือจะสู้ชายฉกรรจ์ตั้งหลายคน วาดหนีขึ้นไปบนต้นไม้แต่ก็ถูกพวกมันพยายามจะฉุดกระชากลงมา ช่วงเวลานี้เอง อองดินขี่ม้าเข้ามาช่วยเหลือ โดยเขาร้องบอกวาดที่ยังคงโพกผ้าปิดหน้าตาไว้ตลอดว่า
“นังหน้าผี...ขึ้นม้า แล้วขี่หนีไป”
วาดเลิ่กลั่กเพราะไม่เคยขี่ม้ามาก่อน แต่ยามคับขันเยี่ยงนี้ก็ต้องเสี่ยง วาดโดดจากต้นไม้ลงมาขี่ม้าได้พอดีแล้วควบออกไป ส่วนอองดินที่สละม้าให้วาดก็ตะลุมบอนกับพวกนายขวด แต่พักหนึ่งวาดก็ขี่ม้าย้อนกลับมาช่วยชายหนุ่มมากน้ำใจที่กำลังโดนพวกหมาหมู่รุมทำร้ายได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยไว้ได้ แต่ขวดนั้นโดนมีดสั้นของวาดเข้าที่ต้นขาเจ็บปวดแทบเดินไม่ไหว
อองดินกับวาดขี่ม้าหนีออกไปทางน้ำตกก่อนจะแวะพักเหนื่อยและล้างหน้าล้างตา นี่เองทำให้อองดินเห็นใบหน้าหมดจดของวาด ซึ่งไม่ได้น่าเกลียดอย่างที่คิดไว้
“ไหนบอกว่าหน้าเละเหมือนผี”
“ข้าอำพรางพวกมัน แล้วทีท่าน ไหนว่าเป็นพ่อค้า ทำไมมีธนูกับม้าเหมือนพวกทหาร”
“เจ้าเป็นทาสอย่างที่ไอ้พวกนั้นบอกรึเปล่า”
“ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นทาส แล้วยังจะช่วยข้าอีกรึ”
“มีนายเงินดุร้ายเช่นนั้น มีแต่คนบ้าที่กล้าหนี”
“ถ้าต้องไปกับพวกนั้น ข้ายอมตาย”
เห็นชายหนุ่มเอาผ้าออกมาพันแผลที่ขา วาดมองอย่างซาบซึ้งบุญคุณ ถามเขาว่า
“เจ็บมากไหม ข้าขอบใจมาก ไม่มีใครนักดอก ที่เสี่ยงชีวิตกลับไปเอาม้ากับอาวุธมาช่วยทาส”
อองดินไม่ได้คิดอะไรมากนัก กำลังห่วงเรื่องงานของตนมากกว่า ในหัวมีความคิดตลอดเวลา เขามองสำรวจรูปร่างของหญิงสาวตรงหน้าซึ่งน่าจะใกล้เคียงกับเจ้าหญิง ก่อนเอ่ยปากถามเธอว่า
“ค่าตัวทาสอย่างเจ้ามันจะซักกี่อัฐ”
“ทำไม ท่านจะซื้อตัวข้างั้นรึ”
“ยามนี้ข้าต้องการคนช่วย จิตใจเจ้ากล้าหาญเกินหญิง ข้าจะซื้อเจ้ามาใช้งาน”
“ข้าเสี่ยงชีวิตหนีมา ข้าจะไม่กลับไปเป็นทาสอีก ลาก่อน” วาดมีทิฐิเดินกลับมาเอาห่อผ้าที่อยู่ใกล้ๆม้า
“เดี๋ยว ข้าเสี่ยงชีวิตช่วยเจ้ามานะ จะหนีไปเฉยๆ เช่นนี้รึ”
“ข้าจะตอบแทนท่านด้วย...” ค้นหายาในห่อผ้าแต่ไม่พบ “ยาหล่นหายไปหมดแล้ว ข้ามีวิชาปรุงยา บอกที่อยู่มาสิ ข้าจะปรุงยาไปตอบแทนให้ท่าน”
“ข้าไม่ต้องการยา ที่ร้านค้าดูท่าทางเจ้าต้องการอัฐ เจ้ายังต้องการอัฐอยู่หรือไม่”
“ท่านจะให้อัฐข้ารึ”
“เจ้าไม่เป็นทาส แล้วเจ้าจะเลี้ยงตัวอย่างไร ขายยาพวกนั้นรึ ทาสอย่างเจ้าไปขโมยตำรับยาจากใครมาล่ะ ไม่ช้านาน อีกหน่อยเขาก็ต้องรู้และตามมาจับตัวเจ้า”
วาดคิดตามแล้วเห็นด้วย อยากรู้ว่าเขาจะให้อัฐเธอเท่าไหร่ แต่อองดินไม่ได้ให้อัฐ กลับนำทองแท่งออกมาอวดจนวาดตะลึงตาโต
“ให้มากพอที่จะไถ่ตัวเจ้า พ่อแม่เจ้า ครอบครัวเจ้า” พอวาดจะหยิบ อองดินหดมือกลับคืนพร้อมกับย้ำว่า “รอจนงานเสร็จก่อน...ว่าไง ตกลงหรือไม่”
“ตกลงก็ได้ แต่เราจะอยู่ในฐานะเพื่อนกับเพื่อน”
“เพื่อนเนี่ยนะ มันไม่มากไปรึ”
“ข้าบอกแล้ว ข้าจะไม่ยอมเป็นทาสใครอีก” วาดเชิดหน้า อองดินมองเคืองๆ ที่ทาสนางนี้ทะเยอทะยานเหลือเกิน...
ต่อมาเมื่ออองดินพาวาดกลับไปพบเอยาวดีกับติ๊ดที่บ้านพัก เอยาวดีรู้สึกถูกชะตากับวาดไม่น้อย แต่วาดกลับมีท่าทีระแวงระวังตัวแจ พอได้ยินอองดินบอกความจริงว่าเอยาวดีเป็นเจ้าหญิงแห่งเชียงน้อย ติ๊ดเป็นนางข้าหลวง ส่วนเขาเป็นองครักษ์ แต่พวกเราปลอมตัวเป็นพ่อค้า วาดถึงกับตะลึงแทบไม่เชื่อหูเชื่อตาตัวเอง
“เจ้านี่สวยเกินทาสนะ หญิงดีใจจ้ะ ที่ได้รู้จักกัน” เอยาวดีหยิบยื่นไมตรี
“เจ้าต้องปกปิดสถานะที่แท้จริงของเราเป็นความลับ” อองดินสำทับวาดแล้วหันมาบอกเอยาวดี “เจ้าหญิง หม่อมฉันหานางทาสมาช่วยพวกเราเพราะว่า...”
“บอกแล้วไง ข้าเป็นคนงาน เป็นเพื่อน ไม่ใช่ทาส” วาดแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้าตึงๆ แต่อองดินไม่สนใจวาดในประเด็นนั้นเลย จึงกล่าวกับเจ้าหญิงต่อไป “หม่อมฉันมีแผนบางอย่าง”
แผนของอองดินก็คือให้ติ๊ดออกไปปล่อยข่าวว่าเจ้าหญิงเสด็จมาถึงเมืองนี้แล้ว เมื่อติ๊ดไปทำตามแผนจนข่าวเจ้าหญิงล่วงรู้ไปถึงหูหม่อมนวลที่จวนเจ้าเมือง หม่อมนวลจึงให้เจ้าเมืองไปเอาตัวคนพูดมาพบ เพื่อทำการสอบสวนว่าเท็จจริงเช่นไร
ครั้นได้รับการยืนยันจากติ๊ดว่าข่าวนั้นเป็นจริง พรุ่งนี้เจ้าหญิงจะทรงม้าผ่านตลาดแล้วจะเสด็จมากราบหม่อมนวลถึงที่จวนเจ้าเมืองแห่งนี้ หม่อมนวลยิ้มหน้าบานด้วยความดีใจ มองเห็นบ่อพลอยลอยมาตรงหน้ารำไร อยากจะไปเข้าเฝ้าเจ้าหญิงเสียเดี๋ยวนี้ จะได้ดูแลความเป็นอยู่ให้สมพระเกียรติ
“ข้าน้อยเรียนแล้ว เจ้าหญิงทรงมีพระประสงค์จะประทับเป็นการส่วนพระองค์ กราบลานะเจ้าคะ” ติ๊ดตัดบทแล้วคลานออกไปทันที
ด้านท่านดาบก็รู้ข่าวนี้จากก้านแล้วเช่นกัน แต่รู้แล้วก็ไม่ได้ยินดียินร้ายใดๆ กลับไปปักใจกับสาวสวยที่พบเมื่อวันก่อนที่น้ำตก โดยไม่รู้เลยว่านางก็คือเจ้าหญิงเอยาวดีนั่นเอง...
ส่วนติ๊ดพอปล่อยข่าวเรียบร้อยแล้วก็รีบกลับมารายงานต่อทุกคนที่บ้านพัก โดยมีวาดร่วมรับรู้รับฟังอยู่ด้วย
“ปล่อยข่าวทั่วตลาดเช่นนั้น ป่านนี้คนของเจ้าอาก็รู้แล้วสิว่าหญิงจะไปจวนเจ้าเมืองวันพรุ่งนี้” เอยาวดีเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจแผนการของอองดินนัก เช่นเดียวกับติ๊ดที่ท้วงว่า ทำเช่นนี้คนของสมิงสินธูจะดักทำร้ายเจ้าหญิงกลางทางได้
“ข้าต้องการให้เป็นเช่นนั้น ทันทีที่มันเผยตัวออกมา ข้าจะทำร้ายมันก่อน”
วาดคิดตามและลำดับเรื่องราวอย่างเข้าใจ “ท่านต้องการล่อให้พวกนั้นออกมาเพื่อจะกำจัดมัน มิเช่นนั้นเราก็ไม่รู้เสียทีว่าพวกศัตรูเป็นใคร หลบซ่อนอยู่ที่ใด”
“เจ้าฉลาดมาก เราต้องอยู่ในเมืองสยามอีกนานเพื่อตามหาเจ้าชาย ข้าไม่ต้องการให้มีศัตรูในที่ลับ...อันตรายเกินไป”
“หากว่าอองดินจัดการคนพวกนั้นแล้ว เรื่องหม่อมนวลจะทำเช่นใด” เอยาวดีอดกังวลไม่ได้
“เจ้าหญิงบนม้าตัวนั้น เพียงแค่ผ่านตลาด ไม่ได้มุ่งไปจวนเจ้าเมือง แต่มุ่งไปลงเรือที่เราเตรียมไว้ที่ท่าน้ำ เราจะหนีออกจากเมืองนี้ แล้วส่งจดหมายไปแจ้งหม่อมนวลภายหลัง”
“จดหมายไปแจ้งหม่อมนวลว่าอะไรเจ้าคะ” ติ๊ดซักอองดิน
“แจ้งว่ามีการลอบปลงพระชนม์ที่ตลาด เจ้าหญิงจำเป็นต้องเสด็จกลับประเทศ รอจนกว่าเหตุการณ์ภายในเชียงน้อยเรียบร้อยค่อยเสด็จมาใหม่”
“หม่อมนวลย่อมเข้าใจความจำเป็นของหญิง ไม่กล่าวหาว่าหญิงลบหลู่พระเกียรติ เพราะเกิดการต่อสู้ขึ้นที่ตลาดจริงๆ” เอยาวดีหมดกังวลและยิ้มได้
“ใช่ จากนั้นเราก็จะออกตามหาเจ้าชายต่อไป อย่างน้อย น่าจะปลอดภัยระยะหนึ่ง ที่สำคัญหม่อมนวลจะรามือไม่มาวุ่นวายกับพวกเรา”
“เป็นแผนการที่แยบคายนัก ท่านจ้างให้ข้าคุ้มกันเจ้าหญิงไปขึ้นเรือใช่ไหม งานง่ายๆแค่นี้เอง”
“เจ้าคิดว่าข้าจะให้เจ้าหญิงไปเสี่ยงภัยบนหลังม้าท่ามกลางศัตรูที่ข้าไม่เคยเห็นหน้างั้นรึ”
“ท่านหมายความว่าอะไร” วาดฉงน
“เจ้าต้องปลอมตัวเป็นเจ้าหญิงแล้วขึ้นไปอยู่บนหลังม้านั้น ส่วนเจ้าหญิงจะปลอมตัวเป็นเจ้า และไปรออยู่ที่ท่าน้ำ”
“ปลอมตัว!” สองสาวตกใจมาก โดยเฉพาะวาดทั้งตกใจทั้งโมโห
“นี่ท่านจ้างข้าเป็นตัวล่อศัตรูงั้นรึ ท่านให้ข้ามาเสี่ยงชีวิต ให้ข้ามาตายแทนเจ้าหญิง งานพิลึกเช่นนี้ ใครอยากทำก็ทำไปเถอะ ข้าไม่ทำ” พูดจบวาดเดินหนีไปทันที เอยาวดีจะก้าวตาม แต่อองดินขอไปเจรจากับนางเอง
เมื่อเผชิญหน้ากันตามลำพัง วาดก็โวยใส่อองดินทันที “ที่ที่ข้าหนีมา เขาเห็นทาสไม่ใช่คน ข้ายอมเสี่ยงตายหนีมา นึกว่าจะหนีพ้น แล้วก็มาเจอท่านอีก ท่านคิดว่าชีวิตของทาสไม่มีค่า”
อองดินเคร่งขรึมครุ่นคิด หยิบธนูยกขึ้นเล็งเหมือนจะยิงวาด ทำเอาวาดตกใจร้องลั่นนึกว่าเขาจะฆ่าปิดปากเธอ แต่ที่ไหนได้ อองดินเพียงจะแสดงฝีมือของตนให้วาดเห็น โดยยิงแมลงตัวเล็กนิดเดียวได้อย่างแม่นยำ จนวาดอึ้งและทึ่ง
“ท่านไม่ใช่ทหารธรรมดา” วาดครางออกมา
“ข้ามีฉายาว่าพญาเหยี่ยวแห่งเชียงน้อย บางคนเชื่อว่าข้ามีตาทิพย์ ยิงธนูไม่เคยพลาดเป้า วันที่เจ้าปลอมตัวอยู่บนหลังม้า ข้าจะแอบซุ่มอยู่ในที่สูง ณ ที่นั่นตาเหยี่ยวของข้าจะมองดูฝูงชน ทันทีที่มีใครคิดทำอันตรายเจ้า ข้าจะฆ่ามันก่อนที่มันจะได้ขยับตัว”
“ท่านมั่นใจว่าท่านจะช่วยข้าได้งั้นรึ”
“เจ้าดูคล่องแคล่วและกล้าหาญ ข้าจะสอนเจ้าใช้อาวุธและขี่ม้า ข้าสัญญาว่าเจ้าจะปลอดภัย”
“ท่านเป็นทหาร เป็นพวกชนชั้นสูง แค่ใช้วาจาหลอกทาสอย่างข้า”
“เจ้าเคยพูดเอง ข้ากลับไปเอาม้าเอาธนูมาเพื่อช่วยทาสไร้ค่าอย่างเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเห็นเจ้าเป็นคน ข้าจะเสียเวลาไปช่วยเจ้าทำไม ตรองดูเอาเถอะ”
“ท่านบอกว่าท่านสัญญา ท่านใช้คำว่าสัญญางั้นรึ”
“ใช่...ข้าสัญญาด้วยชีวิตของข้า เจ้าจะปลอดภัย” ออง–ดินย้ำหนักแน่นทั้งน้ำเสียงและแววตา
ดังนั้น วาดจึงตกลงทำตามแผนของเขา แต่ยังมีข้อแม้ที่กล่าวขึ้นต่อหน้าเอยาวดีและติ๊ดด้วยว่า
“ข้ายอมทำงานก็ได้ แต่ข้าไม่ยอมเป็นทาสใคร ไม่แม้แต่พระองค์ เจ้าหญิงที่งดงามเหมือนนางฟ้าคนนี้ ข้าก็ไม่ยอม”
“เอ๊ะนังทาสคนนี้ พิกลนัก ในเมื่อเจ้าเป็นทาส เจ้าจะมาพูดเช่นนี้มิได้” ติ๊ดกำราบวาด แต่เอยาวดีไม่ติดใจ อองดินจึงสรุปทันทีว่า เขาจะไม่เห็นวาดเป็นทาส วาดจะได้เป็นนางข้าหลวง เป็นคนงานของเจ้าหญิง ไม่ใช่ทาส
“และข้าจะได้เงินไถ่ตัวแม่ข้า ตามที่ท่านสัญญาไว้”
“ได้ สำหรับเจ้าหญิง เจ้าต้องเป็นบ่าว แต่สำหรับข้า เจ้าจะเป็นเพื่อน เพื่อนตามที่เจ้าอยากเป็น”
“ท่านอองดิน นังคนนี้มันเป็นทาส ยกทาสให้เป็นเพื่อน ไม่สมควรนะเจ้าคะ” ติ๊ดท้วงขึ้นมาหน้าตาขึงขัง แต่เอยาวดีกลับเดินเข้าไปจับมือวาดอย่างสนิทสนม แถมยังเอ่ยปากรับวาดเป็นเพื่อน ติ๊ดเลยโวยวายใหญ่ “เอ๊า เจ้าหญิง โฮ้ย...ไปกันใหญ่แล้ว มันเป็นทาส ไม่มีใครได้ยินรึ”
“วาดต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อหญิงนะพี่ติ๊ด หญิงเองก็ถูกชะตากับวาด เราสามคนมาเป็นเพื่อนกันนะ...อองดิน วาด แล้วก็หญิง”
วาดงงๆ ไม่เคยเจอใครจิตใจใสสะอาดขนาดนี้ แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกระแวงเล็กน้อย...เมื่อตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว อองดินจึงเริ่มสอนวาดขี่ม้าและสอนชั้นเชิงการต่อสู้ด้วยดาบ ซึ่งวาดก็หัวไวทำได้ดีจนเอยาวดีที่คอยเอาใจช่วยถึงกับปรบมือชื่นชม
ooooooo
เช้าขึ้นเอยาวดีไปอาบน้ำบริเวณน้ำตกและได้เจอท่านดาบอีกครั้ง ชายหนุ่มตั้งใจมาแอบดูเธออาบน้ำ แต่พอพลาดท่าถูกเธอจับได้ก็จำต้องอ้างว่าแค่มาเดินเล่นและเก็บของป่า แต่หญิงสาวไม่เชื่อ หาว่าเขาลามก บ้ากาม แล้วขับไล่เขาด้วยก้อนหินก้อนดินอย่างไม่ยั้งมือ
อาบน้ำเสร็จกลับมาบ้านพักก็ถึงเวลาต้องแลกเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวเพื่อทำตามแผนของอองดิน...เอยาวดีสวยเรียบในชุดทาสของวาด ขณะที่วาดสวมใส่ชุดเจ้าหญิงสวยสง่าจนอองดินเห็นแล้วตกตะลึง ส่วนติ๊ดก็แต่งชุดนางข้าหลวงเพื่อตามเสด็จเจ้าหญิงตัวปลอม โดยอองดินได้นำเสด็จเจ้าหญิงตัวจริงไปรอยังท่าเรือตามที่นัดแนะกันไว้ จากนั้นเขาก็กลับมาซุ่มดูวาดกับติ๊ดบริเวณตลาดเพื่อจับตาย
คนของสมิงสินธูที่คิดปลงพระชนม์เจ้าหญิง
ชาวบ้านร้านตลาดตื่นเต้นกันใหญ่เมื่อเจ้าหญิงปรากฏตัวบนหลังม้า ต่างก็แย่งกันเข้ามาชื่นชมบารมี โดยที่ติ๊ดคอยบรรยายตอกย้ำว่านี่คือเจ้าหญิงแห่งเชียงน้อย ไม่ช้าไม่นานคนของสมิงสินธูในคราบขอทานสองคนก็เบียดเสียดเข้ามาเพื่อปลงพระชนม์เจ้าหญิง อองดินเห็นโดยตลอดจึงยิงธนูใส่ทั้งคู่ ทำให้ชาวบ้านแตกตื่นตกใจวิ่งหนีตายกันโกลาหล ขอทานคนหนึ่งถูกยิงตาย อีกคนหลบทันแล้วจับหญิง
ชาวบ้านเป็นตัวประกัน แต่ในที่สุดก็ถูกคมธนูของอองดินตายตามเพื่อนไป
ติ๊ดตกใจมากกับเหตุการณ์สุดระทึก วาดต้องบอกติ๊ดให้ตั้งสติไว้ ไปเอาข้าวของแล้วไปที่ท่าเรือโดยเร็ว ส่วนตัววาดเองก็ควบม้าออกไปทันที ในขณะที่อองดินยังเดินสำรวจตรวจดูว่ามีคนน่าสงสัยอีกหรือไม่
หม่อมนวลอดรนทนรอรับเสด็จเจ้าหญิงเอยาวดีอยู่ที่จวนเจ้าเมืองไม่ไหวจึงเดินทางมาพร้อมเจ้าเมืองและทหารสองนาย พอมาเจอชาวบ้านกำลังวิ่งกันอลหม่านหน้าตาตื่น จึงสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“ท่านเจ้าเมือง ที่ตลาดมีคนลอบปลงพระชนม์เจ้าหญิง!” พ่อค้าคนหนึ่งบอกเล่าด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ เป็นจังหวะที่วาดในชุดเจ้าหญิงสวยสง่าควบม้าตรงมาเพื่อจะไปยังท่าเรือ หม่อมนวลมั่นใจว่าต้องใช่เจ้าหญิงแน่ และเข้าใจว่าคงหนีคนร้ายมาจึงร้องบอกทหารให้สกัดเจ้าหญิงไว้และคอยคุ้มกันความปลอดภัย แต่วาดคิดแต่จะไปท่าเรือเลยควบม้าเร็วเกินจึงตกลงมาหมดสติ แล้วถูกพวกหม่อมนวลพาไป
พักรักษาตัวที่จวนเจ้าเมือง
ส่วนที่ท่าเรือ เจ้าหญิงเอยาวดีในชุดเสื้อผ้าของวาดก็สลบเหมือดไปเช่นกัน ด้วยการกระทำอันป่าเถื่อนของพวกขวดที่กำลังจะนั่งเรือกลับพระนคร ซึ่งพวกเขาเข้าใจว่าเธอคือนังวาดทาสในเรือนเบี้ยของหลวงโอสถที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน
ครั้นติ๊ดมาถึงท่าเรือก็ไม่พบเจ้าหญิงเสียแล้ว เพราะเจ้าหญิงถูกพวกขวดอุ้มลงเรือออกจากท่าไปสักครู่นี้เอง ติ๊ดเริ่มใจเสียหิ้วห่อผ้าเดินหา พร้อมส่งเสียงเรียกเจ้าหญิงไปตามมุมต่างๆ และให้นึกแปลกใจว่าวาดหายไปไหน ไม่ได้ขี่ม้ามาทางนี้หรอกรึ?
เมื่ออองดินตามมาสมทบและรู้จากติ๊ดว่าไม่พบทั้งเจ้าหญิงและวาด เขาร้อนรนตกใจไม่แพ้ติ๊ด สั่งให้แยกกันตามหาเจ้าหญิงโดยเร็ว
ooooooo
ที่จวนเจ้าเมือง วาดในชุดเจ้าหญิงยังนอนเหยียดยาวไม่รู้สติอยู่บนเตียง คุณหญิงภริยาท่านเจ้าเมืองและหนิมบ่าวของหม่อมนวลช่วยกันดูแลบีบนวด โดยหม่อมนวลนั่งห่างออกมา พร่ำพูดชื่นชมความงามของเจ้าหญิงด้วยความภูมิใจ หนิมเองก็สรรเสริญว่างามเหลือเกิน สมแล้วที่เป็นเจ้าหญิงแห่งประเทศเชียงน้อย
“ในคุ้มของเจ้าหลวงพูดกันหนาหูว่าเจ้าหญิงเอยาวดีไม่ได้งามอย่างเดียว ยังมีกายหอมอีกด้วย”
หนิมพิสูจน์คำพูดหม่อมนวลด้วยการเข้าไปสูดดมใกล้ๆตัวเจ้าหญิง ไม่ได้กลิ่นจึงไม่แน่ใจ แต่ไม่กล้าพูดมาก นอกจากทวนคำว่า “หอมหรือเจ้าคะ...”
“เจ้าหญิงทรงมีพระจริยาวัตรงดงาม อ่อนโยนเรียบร้อย สมเป็นกุลสตรีชาววัง”
ขาดคำของหม่อมนวล วาดลืมตาตื่นลุกพรวดขึ้นนั่งราวกับผีผลักจนทุกคนสะดุ้ง พอหนิมเยี่ยมหน้าเข้าไปก็โดนวาดถีบเปรี้ยงเพราะตกใจ แถมยังอยู่ในอารมณ์หนีศัตรู
“เฮ้ย ออกไป จะทำอะไรข้า” วาดหันซ้ายขวาคว้าของใกล้มือมาขู่ ท่าทางเอาเรื่องกระโดกกระเดกเสียจนทุกคนงุนงง ส่วนหนิมถูกถีบหงายหลังจึงแอบบ่นว่าพระบาทหนักขนาดนี้เนี่ยนะเรียบร้อย
จากนั้นหม่อมนวลและท่านเจ้าเมืองก็รีบอธิบายว่าอะไรเป็นอะไร พร้อมกันนี้หม่อมนวลก็แนะนำตัวเองเสียดิบดี กะว่าเจ้าหญิงต้องรู้จักเป็นแน่ แต่ผิดคาด เจ้าหญิงวาดกลับย้อนถามว่าหม่อมนวลไหน?
“เอ๊า ก็ที่เจ้าหญิงจะเสด็จมาหา เอ้อ...แม่ของท่านชายดาบ พระคู่หมั้นน่ะเพคะ”
“อ๋อ...แล้วนี่ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง อองดิน พี่ติ๊ด อยู่หนใดล่ะ”
“เอ...เจ้าหญิงคงหมายถึงคนสนิท ไม่ทราบไปอยู่หนใดเพคะ แต่อีกหน่อยคงตามมาที่จวนนี่”
“มีผู้ลอบปลงพระชนม์ กระหม่อมในฐานะเจ้าเมือง กราบขอประทานอภัยที่ไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยให้พระองค์ได้ทันท่วงที”
วาดค่อยๆลำดับความคิด แล้วโพล่งขึ้นมาอย่างนึกได้ “ท่าเรือ...นัดกันที่ท่าเรือ ข้าต้องไปท่าเรือ” วาดลุกพรวดจ้ำอ้าวออกไปทันที ทุกคนตกใจวิ่งตามกันแทบไม่ทัน
เมื่อยังถูกทั้งขบวนไล่ต้อนวาดเลยต้องบอกความจริงว่าตนไม่ใช่เจ้าหญิง ทุกคนได้ฟังก็อึ้งไปตามกัน
“แต่ภูษาและเครื่องประดับงดงามเช่นนี้ คนธรรมดาสามัญ ไฉนจะมีได้ล่ะเพคะ”
“จะยังไงก็เถอะ ข้าไม่ใช่ดอก ปล่อยข้าไปสิ จะไปเชิญ...เอ้อ...เชิญเสด็จ อะไรก็ไม่รู้ล่ะ เอาเป็นว่าจะพาเจ้าหญิงองค์จริงมาให้”
หม่อมนวลมองวาดอย่างพินิจซ้ายขวา ครุ่นคิดว่าจะเอายังไงดี ที่สุดก็ตัดสินใจไม่เชื่อ
“หม่อมฉันรู้ล่ะ เจ้าหญิงรับสั่งเรื่องเท็จเช่นนี้เพราะไม่อยากเสกสมรสใช่ไหมเพคะ”
“นี่ ที่จริงข้าก็ไม่ค่อยรู้อะไรนักดอก เอาอย่างนี้ ให้ข้าไปที่ท่าเรือให้ท่านองครักษ์มาพูดกับท่านเอง เห็นทีจะเหมาะกว่า” วาดจะออกเดินแต่ต้องหยุดกึกเพราะหม่อมนวลกางกั้นไม่ยอม แถมยังขอเวลาสักครู่ ว่าแล้วเธอก็หันไปหารือกับเจ้าเมือง
“เจ้าหญิงหนีพิธีเสกสมรสมาหลายเพลา ครั้งนี้เพราะข้ามาดักถึงหัวเมืองดอก จึงพบตัว”
“หนีทำไมขอรับ” เจ้าเมืองไม่เข้าใจ
“คงเพราะในประเทศเชียงน้อยยังมีศึกสงคราม วันนี้มาหาข้าเพราะเกรงใจ แต่พอเห็นว่ามีคนลอบปลงพระชนม์ ก็คงเกิดขวัญหนีดีฝ่อคิดแต่จะกลับประเทศของตน เพราะฉะนั้นให้ไปท่าเรือไม่ได้เด็ดขาด”
เจ้าเมืองเชื่อหม่อมนวล ร้องสั่งบ่าวช่วยกันจับเจ้าหญิงที่กำลังจะวิ่งลงเรือน พอได้ตัวก็พาไปไว้ในห้องแล้วลั่นดาลแน่นหนาจนวาดหมดโอกาสออกมา ได้แต่โวยวายโหวกเหวกว่าตนไม่ใช่เจ้าหญิง!
ooooooo
ขณะเดียวกันนั้น ท่านดาบยังอยู่กับก้านที่เพิงพักในป่า ก้านพยายามโน้มน้าวจะให้ท่านดาบไปดูหน้าเจ้าหญิงแห่งเชียงน้อยที่เขาลือกันว่าทั้งงามทั้งหอม ถึงขนาดกล่าวขานกันว่าเป็นเจ้าหญิงกายหอม แต่ไม่ว่าก้านจะพูดอย่างไร ท่านดาบก็ไม่สนใจ หลุดปากออกมาว่า
“งามแค่ไหน หอมแค่ไหนก็สู้นางไม้ของข้าไม่ได้”
“นางไม้?” ก้านนิ่วหน้างงๆ “แล้วนี่ถ้าไม่อยากเจอเจ้าหญิง จะอยู่ทำไมนักขอรับในป่านี่น่ะ”
ท่านดาบนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาล่องลอยอ่อนหวานเหมือนอยู่ในภวังค์
“ไอ้ก้าน เอ็งเคยมีใจเสน่หาใครบ้างไหม”
“โอ้ย...มีทุกวัน แต่ไอ้คนที่เรามีด้วย เขาไม่มีก๊ะเรานี่สิขอรับ”
“ถ้าเอ็งระลึกถึงใครคนหนึ่งตลอดเวลา ผู้หญิงอื่นเป็นหมื่นแสนก็ทำให้เอ็งครึ้มอกครึ้มใจไม่ได้ดอก”
“ระลึกถึงใคร...ใครรึขอรับ”
ท่านดาบไม่ตอบแต่อมยิ้มนึกถึงสาวสวยที่เจอบริเวณน้ำตก ทำให้ก้านยิ่งสงสัยใคร่รู้ยืดตัวขึ้นมองหน้าท่านดาบระยะประชิด
“ทำหน้าเช่นนี้โดนคุณไสยหรือเปล่าวะ” ขาดคำ ก้านถูกท่านดาบถีบเปรี้ยงกระเด็นหงายหลัง
“นี่แน่ะ ล้นนัก เต็มตีนข้าไหมล่ะ”
ก้านจ๋อยสนิท ไม่แม้แต่จะโอดครวญสักแอะ
ooooooo
อองดินกับติ๊ดเที่ยวตามหาเอยาวดีพล่านไปหมด สอบถามชาวบ้านก็ไม่มีใครเห็นผู้หญิงตามรูปพรรณสัณฐานที่บอกไป จนมืดค่ำก็ยังไม่เจอ ติ๊ดร้อนรนกังวลใจถึงกับร่ำไห้ด้วยความเป็นห่วง ส่วนอองดินก็เครียดจัดเช่นกัน
ข้างฝ่ายขวดกับสมุนที่พาเอยาวดีลงเรือเพื่อกลับพระนคร ระหว่างทางพวกเขาหยุดเรือแล้วขึ้นฝั่งหุงหาอาหารกินกัน โดยเอยาวดียังนอนหมดสติอยู่ในเรือ พอลืมตารู้สติก็ยังงงๆ จึงเดินออกจากเรือไปหาพวกขวดบนตลิ่ง
“ตื่นแล้วรึนังตัวดี” ขวดแยกเขี้ยวใส่ทันที
“พวกเจ้าเป็นใคร แล้วที่นี่ที่ใดกัน”
“พรุ่งนี้ก็ถึงพระนคร ข้าหิวเลยแวะหาอะไรรองท้อง”
“เจ้าทำร้ายหญิง บังอาจนัก เป็นคนของเจ้าอางั้นรึ อองดิน พี่ติ๊ดอยู่ไหน บอกมานะ” เอยาวดีเสียงเข้มดุ
ขวดงุนงง หันมาพูดกับสมุนว่ามันพูดอะไรของมัน พวกเอ็งฟังรู้เรื่องหรือไม่ พลันสมุนก็ส่ายหน้าพร้อมเพรียง ขวดพยายามคิดตามคำพูดหญิงตรงหน้าซึ่งเข้าใจว่าเป็นนังวาด “เอ็งหมายถึงไอ้นักธนูสินะ ครั้งที่แล้วบังเอิญเอ็งดวงดีก็เท่านั้น ทาสอย่างเอ็งเจอคนช่างสาระแนหนเดียวก็เกินพอ เอ้านี่ รีบๆกินซะ จะได้รีบไป”
ขวดโยนห่อข้าวเหนียวเปล่าๆมาตรงหน้าเอยาวดี
“ไม่ต้องพูดมาก จะฆ่าก็ฆ่าเลย ไอ้พวกกบฏ เชียงน้อยเป็นที่อยู่ที่อาศัย เจ้าไม่รู้สึกสำนึกในบุญคุณแผ่นดินเกิดบ้างรึ”
“นี่เอ็งพูดเรื่องบ้าอะไรหา...อีวาด”
ได้ยินชื่อวาด...เอยาวดีเอะใจ “หรือเพราะหญิงใส่เสื้อผ้าชุดนี้ เจ้าไม่ใช่คนของเจ้าอา เจ้าเข้าใจว่าหญิงคือนางทาสวาดงั้นรึ”
“เอ็งไม่ใช่อีวาดแล้วเอ็งเป็นใคร” ขวดชักโมโห
“เราคือเจ้าหญิงเอยาวดี ท่านจับคนมาผิดแล้ว”
“เจ้าหญิง” ขวดทวนคำแล้วนิ่งมองหน้าสมุนก่อนเปล่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกันถึงขั้นลงลูกคอเอิ๊กอ๊าก
“หัวเราะอะไรกัน คอยดูเถอะ หญิงจะสั่งให้ทหารจับพวกเจ้าไปโบยให้เข็ดหลาบ”
“มันคงคิดว่าเราไม่เคยเห็นหน้ามันน่ะพี่”
“เอ็งนี่มันสำคัญนัก คิดเอาตัวรอดด้วยวิธีเช่นนี้รึ” ขวดชี้หน้า
“หญิงไม่ได้เอาตัวรอด ฟังให้ดีนะ หญิงปลอมตัวกับนางทาสวาดเพราะมีคนลอบเอาชีวิตหญิง เอาอย่างนี้ พาหญิงกลับไปที่เดิม พาหญิงไปเจออองดิน หญิงจะตบรางวัลให้ จะเอาเป็นทองหรือเพชรพลอย หญิงก็มีให้”
ขวดมองสำรวจผิวพรรณหน้าตาหญิงสาวแล้วตบเปรี้ยงจนเธอล้มลง เลือดซึมมุมปาก
“ข้าอยากรู้มานานแล้ว เลือดผู้สูงศักดิ์น่ะสีอะไร เอ๊า สีแดงนี่ ไหนใครว่าสีน้ำเงินวะ ฮึ อีโกหก แต่งเรื่องเป็นคุ้งเป็นแคว คิดว่าข้าโง่รึ มานี่ ข้าวเข้วไม่ต้องกินแล้ว มานี่มาขึ้นเรือ”
“ไม่ อย่าจับหญิง ปล่อย...หญิงเป็นเจ้าหญิงจริงๆ หญิงคือเจ้าหญิงจริงๆนะ”
“ก็ดีสิ โรงโสเภณีของข้าไม่เคยมีเจ้าหญิงเหมือนกัน กลับไปนี่เห็นทีเจ้าหญิงอย่างเอ็งคงเป็นตัวเงินตัวทองให้ชายทั้งพระนครปรีดิ์เปรม คิดดูสิ ได้ขึ้นสวรรค์กับเจ้าหญิงเชียวนะ ฮะฮะฮ่า”
สมุนพลอยหัวเราะเหี้ยมไปด้วย จากนั้นขวดก็ลาก
เอยาวดีไปขึ้นเรือ แถมตบซ้ำอีกรอบเมื่อเธอขัดขืน เอยาวดีตกใจมากกับความป่าเถื่อนที่ไม่เคยพานพบ ร้องไห้เนื้อตัวสั่น คร่ำครวญร่ำหาอองดินและติ๊ดลั่นคุ้งน้ำ
เวลานั้นเอง ติ๊ดกับอองดินกลับมายังบ้านพัก หลังตามหาเจ้าหญิงจนดึกดื่นแล้วไม่พบ ติ๊ดร่ำไห้ระทมทุกข์เมื่อนึกว่าเจ้าหญิงจะทรงอยู่อย่างไร เป็นตายร้ายดียังไง อองดินเอง
ก็อยู่ในอารมณ์เดียวกัน เป็นห่วงเจ้าหญิงจนนอนไม่หลับ แล้วเขียนข้อความส่งผ่านนกพิราบไปให้ตานเคทหารในวังหลวงของเชียงน้อย
“ตานเค ข้าสังหารสมุนของสมิงสินธูที่ตามลอบปลงพระชนม์แล้ว แต่เจ้าหญิงหายตัวไป คนของสมิงสินธูจับเจ้าหญิงไปหรือไม่ รีบส่งข่าวด่วน”
เพียงวันรุ่งขึ้น ตานเคก็ส่งข่าวกลับมายังอองดิน หลังจากแอบฟังสมิงสินธูคุยกับลูกน้องว่าขอทานสองคนเงียบหายไป ไม่ส่งข่าวเหมือนทุกวัน ทั้งที่วันก่อนมันบอกว่าพบตัวเจ้าหญิงแล้ว จึงเกรงว่ามันสองคนจะประมือกับอองดินแล้วพ่ายแพ้...นั่นแสดงว่าสมิงสินธูไม่ได้ข่าวเจ้าหญิง และเจ้าหญิงน่าจะทรงปลอดภัย แต่ถึงอย่างไรทั้งอองดินและติ๊ดก็ยังว้าวุ่นใจอยู่ดีว่าเจ้าหญิงหายไปไหน
ooooooo
ที่จวนเจ้าเมืองเช้านี้ หม่อมนวลกับเจ้าเมืองเข้ามาพบวาดในห้องที่คุมขังเอาไว้ หม่อมนวลปักใจเชื่อว่าหญิงคนนี้คือเจ้าหญิงเอยาวดีแห่งเชียงน้อย จึงพินอบพิเทาสารพัด ขนาดว่านางเอ่ยปากอยากได้ทองที่เป็นค่าจ้าง หม่อมนวลก็ไม่สนใจจะซักถาม กลับเรียกหาทองจากภริยาท่านเจ้าเมืองมาประเคนให้นางทันที
วาดเห็นทองหยองตรงหน้า มีหรือจะปฏิเสธ รวบเอาไว้ทั้งห่อแล้วซุกใต้ที่นอน ก่อนจะตามพวกหม่อมนวลออกไปสวาปามอาหารเช้าที่เจ้าเมืองจัดมาให้เต็มที่ โดยใช้มือเปิบอย่างหิวกระหาย จนหลายคนอึ้งงงตกใจ ยกเว้นหม่อมนวลที่หน้ามืด
ตามัวอยู่คนเดียว ดุบ่าวของตนที่พูดมากปากยื่นปากยาว
“นังหนิม เจ้าหญิงเสด็จมาจากต่างบ้านต่างเมือง เอ็งจะเอาอะไรนักหนา เจ้าหญิงเพคะ เมื่อก่อนตอนหม่อมฉันเป็นคนสามัญ หม่อมฉันก็เปิบมือเพคะ ท่านเจ้าเมือง คุณหญิง วางช้อนลง”
เจ้าเมืองกับคุณหญิงที่กำลังตักอาหารเข้าปากแทบสำลัก รีบวางช้อนลงแล้วใช้มือเปิบไปด้วยกันทั้งหมด
“โฮ้ย อร่อยๆทั้งนั้น แหม ขออภัยนะ ข้าหิวจนตาลายแล้ว ขอกินสบายๆหน่อยเถอะ” วาดยกขาหมับขึ้นชันเข่าข้างหนึ่ง กิริยาสมเป็นทาสของแท้ หนิมตาเหลือก อดอุทานไม่ได้
“โอ้โห เอาเช่นนี้เลย...”
“จริงเพคะ จะกินอาหารมันต้องสบาย เลือดลมจึงจะเดินสะดวก” ว่าแล้วหม่อมนวลก็ชันเข่าบ้าง เจ้าเมืองกับภริยาหน้าจ๋อย ต้องชันเข่าตาม วาดหยักหน้าหงึกๆพอใจมาก แล้วคว้าไก่ทั้งชิ้นใหญ่ๆมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนหม่อมนวลตั้งหน้าประจบประแจงอย่างไร้สติ ยิ้มพอใจไปหมด ทำตามทุกอย่างไม่ขัดแม้แต่น้อย หนิมมองทุกคนที่ชันเข่ากินข้าวเปิบมือ ครุ่นคิดและวิเคราะห์กับตัวเองเบาๆ
“อืม...เมืองเชียงน้อยคงน่าอยู่มิใช่น้อย ขนาดเจ้าหญิงทำเช่นนี้ยังเรียกกุลสตรี หญิงธรรมดานั่งเล่นๆ มิเอาเท้าไปพาดคอผัวหรอกรึ”
ooooooo
พวกขวดถึงโรงนครโสเภณีในตอนบ่าย พอเรือจอดเทียบท่า เอยาวดีก็ถูกขวดสั่งเข้มให้ยกของลงมาเพราะเป็นทาสต้องทำงานต่ำๆพวกนี้ แต่เอยาวดี ไม่เคยทำ และเธอก็ไม่ใช่ทาส จึงเกิดต่อปากต่อคำกับขวดอีก เป็นเหตุให้ขวดโมโหถึงกับตบหน้าเธอฉาดใหญ่
“ข้าถามอีกครั้ง จะทำหรือไม่ทำ”
เอยาวดีน้ำตาริน เข้าไปยกตะกร้าและถุงผ้าข้าวของอย่างเก้กัง สมุนมองท่าทางนั้นแล้วไม่อยากจะเชื่อ
“อีวาดมันดูเหมือนคนวิปลาสนะ คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิง ดูมันทำท่าสิ เช่นนี้เองหลวงโอสถถึงขายให้เรา”
“บ้าจริงๆหรือหลอกเราเล่นเพื่อเอาตัวรอด เดี๋ยวก็รู้” ขวดฮึ่มฮั่มด้วยความโมโห
ครั้นพากันขึ้นไปหน้าบ้านทรงไทยหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยทาสชายและหญิง แล้วก็ผู้ชายแต่งตัวดีมีฐานะ เอยาวดี มองไปรอบทิศด้วยความสงสัย ถามขึ้นว่า “ที่นี่ที่ไหน”
“โรงหญิงนครโสเภณี” เสียงหนึ่งตอบชัดเจน
เอยาวดีมีชีวิตเคยชินอยู่ในโลกแคบคือในวัง เคยรับรู้แต่สิ่งดีงามและของสวยๆงามๆ จึงรับรู้คำคำนี้อย่างเลือนลางไม่แน่ใจในความหมาย
“โสเภณีแปลว่าอะไร”
“นี่เจ้าไม่รู้จักโสเภณีรึ” สมุนคนหนึ่งของขวดย้อนถามอย่างขันๆ พอเธอส่ายหน้า ขวดจึงบอกสมุนว่า
“ก็มันเป็นเจ้าหญิง มันจะไปรู้จักได้ไฉนเล่า” พูดจบก็ประสานเสียงหัวเราะกันทั้งลูกพี่ลูกน้อง ยอมรับว่านังนี่มันบ้าแท้ “โรงหญิงนครโสเภณีที่นี่เป็นแหล่งเริงโลกีย์แห่งใหม่ ใหญ่โตหรูหรากว่าทุกแห่ง ดูสิ ยังไม่ทันค่ำ ไอ้พวกกลัดมัน ก็มารอกันหน้าสลอน”
“ท่านจีนฮงเจ้าของที่นี่ ท่านคิดการใหญ่ ช่วงนี้ทั้งฝรั่งและคนจีนหลั่งไหลเข้ามาทำงานในพระนคร คงทำเงินได้มากโข”
“โรงโสเภณีที่นี่จะทำให้ทุกคนลืมตรอกสกปรกแถวสำเพ็ง อีกหน่อยแม้แต่ลูกท่านหลานเธอก็ต้องมาเที่ยว เอ็งคอยดูไป”
ขวดกับสมุนสนทนากันไปอย่างครื้นเครง แต่เอยาวดีไม่เข้าใจ กระทั่งมีนักเที่ยวชายหลายคนเข้ามารุมล้อมลวนลามแตะต้องเนื้อตัว เอยาวดีเริ่มเข้าใจและรู้สึกกลัวมาก ปัดป้องถอยร่นหนีพวกเขา พลางร้องบอกว่าใครที่ถูกต้องตัวเธอจะต้องถูกประหาร
ชายทุกคนชะงัก แล้วในที่สุดก็หัวเราะกันออกมา ก่อนปรี่เข้าหาสาวสวยอย่างคึกคะนอง โดยมีขวดช่วยจับตัวเธอไว้ให้พวกเขาลวนลามตามสบาย ยิ่งเธอทั้งดิ้นทั้งกรีดร้อง ทุกคนก็ยิ่งหัวเราะชอบใจ และปรบมือเชียร์เมื่อชายคนหนึ่งยกเธอขึ้นพาดบ่าหมุนไปรอบๆ
แต่แล้วก็มีระฆังมาช่วยชีวิต แม่เนื่องแผดเสียงดุดันขึ้นมา “นี่หยุดนะ บัดสีที่สุด ปล่อยลูกสาวฉันลงเดี๋ยวนี้”
ชายกลัดมันทุกคนชะงักด้วยความเกรงใจแม่เล้าวัยกลางคน...เนื่องฉลาดทันคนแต่งกเงินเป็นอย่างมาก จิตใจดีหรือเลวขึ้นกับว่ามีเงินให้หรือไม่ เพราะจะหาเงินไปทำบุญเพื่อให้ตนเองพ้นจากความรู้สึกผิดที่เป็นแม่เล้ามาตั้งแต่รุ่นสาว
เมื่อถูกปล่อยเป็นอิสระแล้ว เอยาวดีกระถดหนีไปแอบข้างประตู เนื้อตัวยังสั่นกลัวน่าเวทนา เนื่องเดินไปมอง ไม่ได้สงสารเพราะรู้อยู่แล้วว่าขวดไปรับทาสมา
“ถึงกับตัวสั่นอย่างกับจะถูกเชือด เป็นอะไรของหล่อนยะ”
“ช่วยด้วย ช่วยหญิงด้วย” เอยาวดีลนลานเข้าไปกอดขาเนื่อง
“ฮึ แรกๆก็กลัว อีกหน่อยก็ระริกระรี้ทุกคน” ว่าแล้วเนื่องสะบัดเท้าออกจากมือเอยาวดีอย่างไม่แยแส แต่หันมาอ่อนหวานกับลูกค้าชายที่เผลอดุไปเมื่อสักครู่
“โรงหญิงโสเภณีของแม่เปิดประตูตอนพลบนะจ๊ะ ลูกสาวของแม่แต่ละนางแต่งตัวนานจ้ะ แต่ถ้ามาก่อนเช่นนี้ แม่มีน้ำชาและขนมเลี้ยงอยู่ที่สวน เชิญทุกๆท่านจ้ะ”
พอลูกค้าพากันออกไปแล้ว เนื่องก็หันไปตวาดขวดเสียงเขียว “อ้ายขวด ทำไมปล่อยให้เขาทำเช่นนี้ เสียราคาหมด”
“อีนี่มันบ้า ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก...นี่ อีเจ้าหญิง นี่คุณแม่เนื่อง มีหน้าที่ดูแลผู้หญิงทุกคน จะเอายาแก้บ้าก็เอาจากคุณแม่เองแล้วกัน” ขวดไม่พูดเปล่า ถ่มน้ำลายเฉียดเอยาวดี แล้วเดินกลับเข้าไปข้างใน
เอยาวดีทั้งกลัวทั้งตกใจ คร่ำครวญทั้งน้ำตาอาบหน้า “ทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้ ทำไมไม่มีใครเชื่อหญิง...อองดิน พี่ติ๊ด ช่วยหญิงด้วย ฮือๆ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ คุณพระ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายช่วยหญิงด้วย อย่าทิ้งหญิงไว้ในนรกแห่งนี้ ฮือๆ”
“นี่มันเป็นบ้าจริงหรือวะ” เนื่องบ่นพึม แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก
ooooooo
ขณะที่เจ้าหญิงตัวจริงกำลังเผชิญกับความโหดร้าย แต่เจ้าหญิงตัวปลอมอย่างวาดกลับอยู่อย่างสบายในจวนเจ้าเมือง ได้กินอาหารชั้นเลิศ มีคนคอยเอาใจสารพัด แม้แต่อาบน้ำก็มีบ่าวช่วย โดยไม่ฟังเสียงปรามของวาดที่บอกว่าตนอาบเองได้ และตนก็เป็นทาสเหมือนพวกเจ้า แถมพออาบเสร็จบ่าวก็นำเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับ อีกทั้งน้ำอบน้ำปรุงมาประเคนให้อีกมากมาย
วาดเห็นของสวยๆงามๆมีค่าก็รีบตะครุบใส่พกใส่ห่อเผื่อเอาไว้ตอนหนีจะได้ไม่ต้องฉุกละหุก จากนั้นวาดก็นั่งให้บ่าวช่วยกันแต่งตัว พลางนึกถึงพวกอองดินว่าป่านนี้จะเป็นยังไง แล้วจะรู้หรือไม่ว่าเธออยู่ที่นี่
ทางด้านท่านดาบ พอรู้จากก้านที่ไปได้ยินคนร่ำลือที่ตลาดว่าเจ้าหญิงอยู่จวนเจ้าเมือง ท่านดาบจึงพิสูจน์ด้วยการไปซุ่มแอบดูอยู่หน้าจวน แต่ที่สุดก็ถูกหม่อมนวลกับหนิมจับได้พร้อมนายก้านทหารคนสนิท
ท่านดาบยอมรับว่าแอบติดตามหม่อมแม่มาตั้งแต่ออกเดินทางเพื่อทำหน้าที่ลูก ป้องกันโจรผู้ร้าย ไม่ได้มารับใครทั้งสิ้น
“เอาเถิด...ไหนๆก็มาแล้ว ท่านดาบจะไปอยู่ทำไมในป่าล่ะ ออกมาอยู่ด้วยกันที่จวนนี่เถอะ”
“เจ้าหญิงเอยาวดีประทับอยู่ที่จวนนี่ เป็นความจริงหรือไม่ขอรับ”
“จริง ลูกไม่อยากเห็นพระคู่หมั้นรึ เจ้าหญิงทรงสิริโฉมงดงามยิ่งนะ”
“จริงเจ้าค่ะ ได้เป็นคู่สู่สมคงงามเหมือนพระรามกับนางสีดา” หนิมเสนอหน้าสอพลอ
“ไม่ได้อยากเป็นคู่ ไม่ได้อยากสู่สม นี่ลูกว่าจะออกเดินทางกลับพระนครคืนนี้ เสบียงก็เตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว”
“กลับไปคนดียวไม่ได้นะ ต้องกลับพร้อมแม่กับเจ้าหญิง จะทิ้งเราไว้อย่างนี้ไม่ได้”
“ลูกขี่ม้า หม่อมแม่มาเรือ ต่างคนต่างกลับดีแล้ว ขอเรียนให้ทราบอีกครั้ง ลูกมาคุ้มกันกระบวนเรือ ไม่ได้มารับผู้หญิงคนไหน ขอให้หม่อมแม่เข้าใจตามนี้ด้วย...ไป ไอ้ก้าน...กลับ”
ท่านดาบเดินหนีไปจริงๆ ไม่สนใจเสียงเรียกของหม่อมนวล ส่วนก้านก็จำต้องก้าวตามนายไป
“จะเอาไงดีล่ะเจ้าคะ เอาเรือออกตามกลับพระนครดีไหม” หนิมเอ่ยขึ้น
“ไม่...เจ้าหญิงจะต้องเสด็จเข้าพระนครอย่างสมเกียรติ ไม่มีท่านดาบมารับก็เหมือนเจ้าหญิงไม่มีค่า วิ่งไปหาผู้ชายถึงพระนคร ข้าจะรออยู่นี่ล่ะ ถ้าลูกมันไม่กลับมารับ ข้าก็จะแก่ตายอยู่ที่นี่ ฮึ่ม” ว่าแล้วหม่อมนวลก็เดินกลับขึ้นเรือนไปอย่างขัดใจ
ooooooo
วันเดียวกันนี้ อองดินพยายามเสาะหาเบาะแสเจ้าหญิง โดยไปถามพวกพ่อค้าในตลาดที่เคยพูดคุยกันตอนมาใหม่ๆ แล้วก็ได้ข้อมูลว่าเจ้าหญิงเชียงน้อยหนีการลอบปลงพระชนม์ไปพักที่จวนเจ้าเมือง อองดินจึงมีความหวัง เข้าใจเอยาวดีอยู่ที่นั่น แต่หารู้ไม่ว่าเธอกำลังทุกข์ระทมอยู่ที่โรงนครโสเภณีต่างหาก
เอยาวดีเอาแต่ร้องไห้ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนจนเนื่องเบื่อหน่ายรำคาญ จึงไปตามขาวทาสสาวรุ่นเดียวกันมาดูแลและ เป็นธุระแทน ขาวเป็นคนอารมณ์ดีชอบพูดจาสองแง่สองง่าม พอขาวเดินเข้าไปตีสนิทถามชื่อแซ่ เอยาวดีกลับกระถดหนีอย่างระแวดระวัง แต่ขาวก็ยังยิ้มแย้มเข้าใส่ แถมพูดติดตลกจนเอยาวดีลดความกลัวลง
“นี่ ข้าเป็นทาสเหมือนเอ็ง ข้าเป็นเพื่อนเอ็งได้ ว่าไงล่ะ ชื่ออะไร”
“เจ้าหญิงเอยาวดี”
คำตอบนั้นทำให้ขาวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เนื่องที่ยังยืนมองจึงบอกว่ามันเป็นคนบ้า นายมันเลยขายมา
“คนบ้าแล้วทำงานได้รึคะ คุณแม่” ขาวซัก
“ผู้ชายที่มาให้เอ็งบำเรอ ไม่สนใจดอกว่าเอ็งชื่อเสียงเรียงนามอะไร เป็นเมียเป็นแม่ของใคร ไฉนจะมาสนว่าเอ็งเป็นบ้าหรือไม่”
“จริงๆด้วย ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาซักถาม เจอหน้าก็อื้ออ้าอย่างเดียว ฟังไม่เป็นศัพท์ มาเถอะมา ไม่ต้องกลัว มากับข้านี่ อีนังเจ้าหญิง มาๆ” ขาวจูงมือนังคนบ้าไปยังเรือนทาส หาข้าวต้มมาให้กิน แต่ข้าวต้มนั้นเละเหมือนข้าวสำหรับเลี้ยงหมูที่เอยาวดีเคยเห็น จึงซักถามขาวไปหลายคำ ทำให้บางที่นอนกระดิกเท้าอยู่แถวนั้นหมั่นไส้ลุกเดินมาตบโต๊ะดังปังจนเอยาวดีสะดุ้งโหยง
“เอ็งจะกินหมูเห็ดเป็ดไก่รึ”
“หญิง...แค่ถามดู” ก้มหน้าตอบกลัวๆ
“ข้ามีวิธีนะ ไปตายแล้วเกิดใหม่ให้พ้นจากความเป็นทาสไงล่ะ นี่จะกินหรือไม่กิน ไม่กินข้ากินเอง” บางแย่งถ้วยข้าวต้มไปตักกิน เอยาวดีเข้ามายื้อแย่งเพราะรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ก็เลยโดนบางตบเปรี้ยงเข้าให้
“โฮ้ยพี่บาง อีนี่มันไม่สบาย เว้นมันไว้คนเถอะนะ” ขาวขอร้อง แต่บางไม่สนใจแถมยังกร่างใส่ผู้มาใหม่ซ้ำอีก
“ข้าชื่อบาง คนที่นี่รู้จักข้าทุกคน เอ็งเป็นคนใหม่จำชื่อ ข้าไว้ให้ดี”
“จ้ะๆ ฉันว่ามันจำได้แล้ว ถ้ามันลืมฉันจะเตือนความจำมันเอง ปล่อยมันเถอะนะพี่นะ” ขาวช่วยเต็มที่เพราะสงสาร ...บางอ่อนลงแต่ยังไม่วายแสยะยิ้มขู่ทาสมาใหม่ก่อนถือชามข้าวต้มตักกินไปตามทาง เอยาวดีอัดอั้นจนน้ำตาริน จากนั้นเดินตามขาวเข้าไปในครัว
“อีบางมันก็ทาสเหมือนพวกเรานี่ล่ะ แต่มันดุร้าย ชอบตบตีทาสด้วยกัน ใครๆเลยกลัวมันหมด...ข้าวไม่มีแล้ว มีแต่น้ำข้าว คราวนี้ไม่ต้องถาม ของไอ้ด่างมันทั้งนั้น กินๆไปก่อนเถอะ เฮอะ ข้าเองเวลาหิวๆ แย่งหมามันกินบ่อยไป”
“เขาคอยเอาเปรียบคนอื่น แล้วเจ้านายไม่ว่าเอารึ”
“เจ้านายวันๆเขาก็เอาใจแขกผู้ชาย แล้วก็นั่งนับอัฐ ไหนเลยจะมาสนใจคนเช่นเรา”
“เช่นนี้เอง วาดจึงไม่ยอมเป็นทาสใคร” เอยาวดีรำพึง
“ผู้หญิงที่นี่เป็นทาสที่ถูกขายมาทุกคน กลางวันทำงาน กลางคืนบำเรอชาย ข้าเคยได้ยินมา คนก่อนหน้าเรา ฆ่าตัวตายไปก็มี” ขาวเจื้อยแจ้วไปเรื่อย
เอยาวดีเหลียวมองรอบด้านเห็นทาสหญิงหลายคนทำงานงกๆ แต่ละคนไม่ได้สรวลเสเฮฮา ออกจะเหนื่อยอ่อนเพลียและดูเศร้าสร้อย
“ในเมื่อมันเหมือนนรกอยู่แล้ว ตายไปก็เท่ากัน แล้วหญิงล่ะ ทำเวรทำกรรมอะไรไว้ทำไมถึงตกนรกเร็วนัก”เอยาวดี ร้องไห้คร่ำครวญ ขาวนึกว่าไข้กำเริบ ถอนใจด้วยความเวทนา
แต่ถึงยังไงอยู่ที่นี่ก็ต้องทำงาน ขาวพาเอยาวดีเข้ามา ช่วยคนอื่นๆทำอาหาร โดยมอบหมายให้หั่นผักแต่เอยาวดีหั่น ไม่เป็น จึงให้เปลี่ยนไปตำข้าว ก็ยังเก้ๆกังๆผิดถูกมั่วไปหมด
“เฮ้ยไม่ใช่ นี่เอ็งเป็นคนเช่นใดกันวะ ไม่รู้จักวิธีทำครัว ไม่รู้จักวิธีตำข้าว”
“หญิงก็อยากเข้าไปดู แต่ข้าหลวงห้ามไว้ เกรงฟืนไฟจะเป็นอันตราย”
“อ้อ ทหารจะถวายความปลอดภัยไม่ทั่วถึง...ถุย! เอ็งนี่มันบ้าได้ถึงขนาด เออดี อยู่กับคนบ้าอย่างเอ็งคงมีอะไรให้หัวร่อได้ทุกวัน”
ขาดคำของขาว บางส่งเสียงมาจากมุมหนึ่ง
“ทำครัวไม่ได้ ตำข้าวไม่ได้ ก็เหลืองานเดียวคืองานของข้า เอ็งจะทำไหม”
“อีบาง!” ขาวตกใจกลัวจะมีเรื่อง รีบห้ามเอยาวดีทันทีที่เสนอตัวช่วยงานบาง “อย่าไปยุ่งกับมัน”
บางไม่พอใจผลักขาวแล้วดึงเอยาวดีออกไปด้านนอก สั่งให้ผ่าฟืน แต่ขาวรู้ว่างานหนักนังคนบ้าอ้อนแอ้นนี่ทำไม่ได้แน่จึงตามมาขัดขวาง
“อีบาง เอ็งมันไม่มีชายใดใช้ไปบำเรอ เขาถึงให้เอ็งทำงานนี่ ถ้าเอ็งใช้คนอื่น ข้าจะไปฟ้องคุณแม่”
“อย่ามาแส่” บางตวาดขาว แล้วสาธิตวิธีผ่าฟืนให้เอยาวดีทำตาม พอขาวเข้ามาห้ามอีก บางเลยตบขาวเปรี้ยงลงไปกองกับพื้น เอยาวดีรีบเข้าประคองพลางต่อว่าบางอย่างคับแค้นใจ
“ตั้งแต่เด็ก หลายครั้งที่มองออกไปนอกกำแพงคุ้มหลวง หญิงนึกอยากเรียนรู้ชีวิตภายนอก อยากรู้ว่าชีวิตคนทั่วไปนั้นเป็นเช่นใด วันนี้หญิงเพิ่งได้เรียนรู้”
“ได้เรียนรู้อะไรเพคะองค์หญิง” บางแกล้งยั่ว
“คนเราที่แท้มีจิตใจของสัตว์แฝงเร้นอยู่ สัตว์ที่ชอบรังแกผู้อ่อนแอกว่า”
บางอึ้งไป เอยาวดีเกิดแรงฮึดหยิบฟืนมาผ่า ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมเอาแต่นั่งร้องไห้อีกแล้ว บางยักไหล่เดินไปนอนเอกเขนกมองมา ยิ้มสนุกที่ได้แกล้งคนเล่น
ooooooo
วันเดียวกัน อองดินกับติ๊ดพากันไปที่จวนเจ้าเมืองหวังจะได้พบเจ้าหญิงเอยาวดี แต่กลายเป็นพบนางวาดเจ้าหญิงตัวปลอม...หลังจากแนะนำตัวต่อเจ้าเมืองและหม่อมนวลแล้ว อองดินกับติ๊ดจึงขอเข้าเฝ้าเจ้าหญิงเป็นการส่วนพระองค์
วาดตกใจไม่น้อยเมื่อรู้จากทั้งสองคนว่าเจ้าหญิงหายไป ซักว่าหายไปไหน ก็นัดกันแล้วที่ท่าเรือ ไฉนพลาดไปได้
“เจ้าหญิงเหมือนนกน้อยในกรงทอง ไม่เคยหาอาหาร ไม่เคยสู้รบปรบมือกับใคร ตรองดูเถอะ เวลานี้เจ้าหญิงจะเป็นเช่นใด” ติ๊ดเสียงเครือ
“ไม่ได้การแล้ว เก็บของแล้วไปกันเถอะ” อองดินลุกพรวดร้อนใจ
“เดี๋ยว เจ้าหญิงหายไป ไม่เกี่ยวกับข้า ท่านจ้างข้าให้แต่งชุดของเจ้าหญิงเพื่อล่อศัตรูเท่านั้น ไหนล่ะทองคำค่าจ้างของข้า”
“เจ้าได้ทองของเจ้าแน่ ข้าไม่เคยผิดสัญญาใคร แต่ตอนนี้มาด้วยกันก่อนเถอะ”
วาดครุ่นคิดก่อนพยักหน้า แล้วคว้าห่อผ้าใต้เตียงขึ้นพาดบ่าจนข้าวของหล่นกราวลงมา อองดินและติ๊ดมองข้าวของสวยงามเหล่านั้นแล้วนึกรู้ว่าวาดต้องขโมยมา จึงปรามไปหลายคำ วาดจ๋อยแต่ก็ยังไม่วายหยิบติดมือมาสองสามอย่าง
เมื่อพากันออกจากห้องมาพบพวกหม่อมนวล อองดินบอกความจริงว่าหญิงคนนี้ไม่ใช่เจ้าหญิง...
“บ๊ะ ตาของข้าแหลมคมเช่นเคย” หนิมชมตัวเอง พลางยิ้มเยาะหม่อมนวลเล็กน้อย
“เราทั้งสามคงต้องขอลา อ้อ ยังมีอีกเรื่องเจ้าหญิงพระองค์จริงถูกลอบปลงพระชนม์ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ การเข้าพิธีเสกสมรสกับพระคู่หมั้นคงต้องหยุดไว้ก่อน”
ฟังอองดินแล้วหม่อมนวลถึงกับเครียด ครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจก่อนเอ่ยออกมา
“ข้าเคยได้ยินว่าสิ่งที่จะยืนยันเจ้าหญิงเชียงน้อยพระองค์จริงนั้นมีสามสิ่ง หนึ่งคือองครักษ์ สองคือนางข้าหลวง และสุดท้ายคือพระธำมรงค์ทับทิม”
“อิฉันก็เคยได้ยิน เพื่อความปลอดภัย ไม่มีใครเคยเห็นพระพักตร์พระราชวงศ์เชียงน้อย ก็เลยต้องใช้ธำมรงค์ทับทิมเนื้อพิเศษที่คนธรรมดาไม่มีเป็นเครื่องยืนยัน” ภริยาท่านเจ้าเมืองเสริมขึ้นมา
หม่อมนวลยิ้มมั่นใจ จากนั้นก็ขอดูพระธำมรงค์ อองดินลังเลเล็กน้อยก่อนหยิบของสิ่งนั้นที่ห้อยคอออกมา หนิมเห็นแล้วตาลุกวาวชื่นชมว่างามนักงามแท้ แล้วสงสัยว่าหม่อมนวลจะดูไปทำไม
“ข้าพูดตามตรง เวลานี้พระเจ้าอาสมิงสินธูคิดก่อการกบฏ เจ้าหญิงเอยาวดีทรงลอบเสด็จเข้ามาในสยามเพื่อตามหาเจ้าพี่รัชทายาทที่หายสาบสูญไปในแผ่นดินสยามเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์” อองดินอธิบาย
“หมายความว่าเจ้าหญิงไม่เคยมีพระประสงค์ที่จะให้ข้าเข้าเฝ้า ไม่เคยมีพระประสงค์ที่จะเสกสมรส ที่เสด็จมาครั้งนี้ หากข้าไม่มารอรับ ก็คงไม่แสดงพระองค์ออกมา”
“ใช่ เจ้าหญิงไม่ทรงพร้อมที่จะเสกสมรสในเวลานี้ คงต้องทรงตามหาเจ้าพี่รัชทายาทให้พบเสียก่อน”
“อืม...ตอบตรงไปตรงมาสมเป็นชายชาติทหาร” หม่อมนวลกล่าวนิ่งๆ แต่ในใจนั้นเริ่มเดือด
“ข้าขอกราบขอบพระคุณที่หม่อมเมตตาเข้าใจในเหตุผล ตอนนี้ข้าขออาวุธคืนและขออนุญาตพานางข้าหลวงสองคนนี้กลับไปด้วยกัน ข้าขอกราบลา”
เจ้าเมืองเห็นหม่อมนวลนิ่งไม่ว่ากระไรจึงหยิบอาวุธของอองดินที่ริบไว้แต่แรกจะคืนให้ แต่ทันใดหม่อมนวลก็ดึงอาวุธนั้นมาไว้กับตัว พลางส่งเสียงสั่งการดังลั่น
“ทหารทั้งหมดที่อยู่ข้างนอก จงฟังข้า ขอให้เข้ามาจับท่านองครักษ์และนางข้าหลวงเดี๋ยวนี้!”
ทหารกรูกันเข้ามาทันที อองดิน ติ๊ด และวาดผงะ ตกใจ ติ๊ดถามเอ็ดอึงว่าให้ทหารมาจับเราทำไม
“จับแค่สองคนนี้ ส่วนเจ้าหญิง นางเล็กๆเชิญเสด็จพระองค์เข้าที่ประทับในห้องเดิม แล้วลั่นดาลไว้...นังหนิม ไปช่วยเชิญเสด็จเจ้าหญิงสิ”
ทุกคนปฏิบัติตามคำสั่งหม่อมนวลโดยเร็ว ส่วนเจ้าเมืองและภริยายังนั่งงง ไม่เข้าใจว่าหม่อมนวลคิดเห็นเช่นใดกันแน่... วาดโวยวายดิ้นรนตลอดเวลา แต่กระนั้นก็ถูกพาตัวเข้าไปขังในห้องอย่างเดิม ขณะที่อองดินกับติ๊ดถูกทหารจับไปขังอีกห้องแถมใส่โซ่ตรวนไว้ด้วย
เมื่ออองดินและติ๊ดถามหาเหตุผล หม่อมนวลก็ชี้แจงแถลงขานไปตามความเข้าใจของตนเองโดยไม่ฟังเสียงทัดทานของคนทั้งสอง หม่อมนวลหาว่าพวกเขาโป้ปดเรื่องเจ้าหญิง ทั้งที่เห็นอยู่ว่าเครื่องยืนยันความเป็นเจ้าหญิงมีครบทั้งสามประการ แถมยังทำฉลาดล้ำรู้ทันว่าเจ้าหญิงเสด็จมาหาตนเพราะเกรงใจ แต่เมื่อมาถึงก็ถูกลอบปลงพระชนม์ จึงคิดกลับลำเดินทางกลับเชียงน้อย และที่ทำกิริยาท่าทาง
หยาบคายก็เป็นการเสแสร้ง เพราะไม่มั่นใจว่าพวกตนทุกคนคิดลอบปลงพระชนม์หรือไม่ ในเมื่อเผยองค์ไม่ได้ก็เลยโกหกเสียให้สิ้นเรื่อง
หนิมอ้าปากค้างกับเรื่องราวที่พลิกผัน บ่นตนเองพลาดไปแล้ว หม่อมนวลได้ทียิ้มเย้ยบ่าวตัวเอง
“เพราะเจ้าเป็นบ่าว แต่ข้าคือหม่อมนวลไงเล่า ท่านอองดิน นางข้าหลวง ข้าจับเจ้าหญิงและพวกท่านครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะต้องการลงโทษหรือดูหมิ่น แต่ข้าต้องการขอโอกาส”
“โอกาสอะไร” อองดินถามทันที
“โอกาสทำหน้าที่แม่ผัว เอ้อ ราชาศัพท์อะไรนะ เอาเถอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เจ้าหญิงและพวกท่านต้องอยู่ในสยามให้ข้าดูแล ถวายความปลอดภัย มิเช่นนั้นข้าจะเอาเรื่องพวกท่าน”
“เอาเรื่อง” ติ๊ดทวนคำด้วยความสงสัย
“ใช่...ข้าจะกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวว่าพวกท่านตั้งใจลบหลู่ไม่ให้เกียรติสยาม อย่าลืมสิ สมรสครั้งนี้เป็นสมรสพระราชทาน เพื่อเชื่อมไมตรีระหว่างประเทศ จู่ๆจะมาทำตาม อำเภอใจใช้ได้ที่ไหน”
“เอ...แล้วที่ขังเขาทั้งที่ไม่มีความผิด ก็ตามอำเภอใจเหมือนกันนะขอรับหม่อม”
“เอ๊ะ ท่านเจ้าเมืองเฉยเถอะ ตำแหน่งจางวางน่ะ ไม่อยากได้รึ”
เจอไม้นี้เข้า เจ้าเมืองเลยไม่ทักท้วง แถมยังเออออไปกับหม่อมนวลทุกสิ่งอย่าง ไม่ยอมปล่อยตัวอองดินและติ๊ดที่รบเร้าขนาดหนักเพราะจะรีบไปตามหาเจ้าหญิงตัวจริง
“พิโธ่พิถัง พูดความจริงกลับไม่มีใครเชื่อ ทำยังไงดีล่ะท่านอองดิน ฮือๆ เจ้าหญิง ท่านองครักษ์กับอีติ๊ดยังไปช่วยพระองค์ไม่ได้ ท่านอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะเพคะ” ติ๊ดทรุดลงร่ำไห้...อองดินหน้าเครียดจัดขณะมองตามพวกหม่อมนวลที่พากันออกไปจากห้องคุมขัง
ด้วยยังรู้สึกกังขาในตัวองครักษ์หนุ่มรูปงามกับอาวุธที่ใช้ เจ้าเมืองคาดว่าเขาน่าจะกินตำแหน่งถึงนายพันนายพล จึงเกรงว่าเราไปจับเขาขัง เกิดเขาเอาเรื่องขึ้นมาจะไม่เดือดร้อนกันหมดหรอกรึ?
“นี่ท่านจางวาง...” หนิมเสนอหน้าเข้ามา พอถูกเจ้าเมืองท้วงว่าตนยังเป็นแค่เจ้าเมืองหัวเมืองเล็กๆ แทนที่หนิมจะสงบคำกลับลอยหน้าบ้าน้ำลาย “เรียกไว้ก่อน เบื้องหน้าได้เป็นแน่ เจ้าหญิงเอยาวดีน่ะทรงเลี่ยงการเสกสมรสหลายเพลา จู่ๆหลุดมาเข้ามือหม่อมเช่นนี้ ไฉนเลยจะปล่อยบ่อพลอยไปง่ายๆ”
“บ่อพลอยมาเกี่ยวอะไรรึ” คุณหญิงไม่เข้าใจ
“ฮู้ย...บ่อพลอยมหาศาลของประเทศเชียงน้อยไง โฮ้ย ป่านนี้ยังไม่รู้ความอีกรึ ไม่ได้อยากได้ใคร่ดีอะไรนักดอกลูกสะใภ้น่ะ”
ผลั๊ก! หม่อมนวลซัดนังบ่าวปากมากไปเต็มเหนี่ยว หนิมถึงกับร้องจ๊ากหัวกระแทกฝาเรือนดังโป๊ก
“เอ๊า โดนหัวรึ อยากให้กระแทกปากมากกว่า มาๆเอาใหม่”
“อ๊าย...หยุดแล้วเจ้าค่ะ หยุดแล้ว” หนิมลนลานถอยหนี
“ไม่รู้ล่ะ เจ้าหญิงบ่อพลอยคิดจะบิดพลิ้วข้า พากันหนีกลับเมือง จากไปครั้งนี้อาจจะไม่มาอีก ยังไงต้องรวบหัวรวบหางไว้ก่อน” หม่อมนวลยิ้มเจ้าเล่ห์...ที่แท้ก็งกเข้าไส้นี่เอง!
ooooooo
คืนนี้เอยาวดีเพิ่งจะได้เห็นเจ้าของโรงนครโสเภณีซึ่งก็คือคุณพระพาณิชย์หรือจีนฮง คุณพระเป็นชาวจีนที่มาทำงานในสยามประเทศ ท่าทางฉลาด เจ้าเล่ห์ และเห็นแก่ผลประโยชน์ เอยาวดีเพียงแต่มองเห็นเขาไกลๆ ขณะเขานั่งคุยกับบ่าวและลูกค้าชายกลุ่มหนึ่ง
“เขาใจดีเหมือนขาวหรือเปล่า” เอยาวดีหันมาถามขาวที่เป็นคนชี้บอก
“ใจดีหรือเปล่าน่ะรึ บทรักท่านพิสดารอยู่บ้าง ครั้งนั้นข้าน่วมไปทั้งตัว เกือบตาย โฮ้ย ไม่อยากจะคิด แต่ใครมาที่นี่ต้องผ่านมือท่านทั้งนั้น”
“ผ่านมือ...” เอยาวดีทวนคำด้วยสีหน้ารังเกียจและกลัวจีนฮง
“หลับตาทำๆไป เดี๋ยวก็ชิน เอ็งเตรียมตัวเถอะ วันสองวันนี้ล่ะ ข้าไปก่อนนะ”
เอยาวดีมองจีนฮงด้วยสายตาประหวั่นพรั่นพรึง บอกตัวเองว่าไม่มีทาง ถ้าถึงเวลานั้นอองดินยังไม่มาช่วย เธอคงเลือกหนทางตาย!
เสียงพูดคุยของจีนฮงดังมากขึ้นทุกที เขาโอ้อวดลูกค้าทั้งหลายว่าวันนี้จะมีเจ้านายคนสำคัญมาเยี่ยม...พูดขาดคำเจ้านายที่ว่าก็ปรากฏตัวเข้ามาพอดี
“ข้าไม่ได้มาเยี่ยม แต่มาตรวจราชการ”
“ท่านทั้งหลาย ท่านนี้คือหม่อมเจ้าชายดาบปราบศัตรู” คุณพระแนะนำและทำความเคารพตามมารยาท ทั้งที่ความจริงเขาเย่อหยิ่งไม่ค่อยนับถือหรือเกรงกลัวท่านดาบมากนัก เพราะเป็นผู้มีผลงานมากเป็นที่เกรงใจของเจ้านาย “โรงหญิงนครโสเภณีสำนึกในเมตตาที่ท่านเสด็จมา ตอนนี้ท่านเสด็จมาตรวจราชการ แต่เบื้องหน้ากระผมหวังว่าท่านจะเป็นแขกคนสำคัญ”
“เห็นทีคงไม่นิยม ถ้าไม่ใช่เพราะงาน ข้าคงไม่คิดแม้แต่จะมาเหยียบ” ท่านดาบตรงไปตรงมาจนจีนฮงชะงัก
“วาสนาของท่านจะมีนางเล็กๆกี่คนก็ได้ แต่ชาวบ้านร้านถิ่นกับชาวต่างชาติห่างลูกเมีย ไฉนเลยจะมีวาสนาเช่นท่าน โรงโสเภณีของกระผมมีไว้สำหรับพวกเขา”
“รีบคุยงานเถอะ ข้าจะได้กลับ”
คุณพระหน้าเจื่อนไปนิด ค้อมหัวให้แล้วเดินไปหาสมุนมือขวา ก้านเลยถือโอกาสกระซิบท่านดาบ
“เรือนใหญ่โต ห้องหับสะอาดสะอ้านไม่เหมือนโรงโสเภณีห้องแถวทั้งหลายเช่นนี้เอง คนจึงขึ้นกันนัก”
คุณพระบอกนายขวดให้ไปบอกพริ้งทาสสาวที่ทั้ง สวยและฉลาดให้เตรียมตัวต้อนรับท่านชาย ถ้าท่านชาย
ติดใจพริ้งขึ้นมาก็คงเห็นชอบให้ตนเปิดโรงโสเภณีอีกแห่งหนึ่ง
เวลานั้น เอยาวดีหลบไปนั่งเศร้าอยู่มุมหนึ่งจึงไม่เห็นท่านดาบ ชายที่เธอเคยพบที่น้ำตกในป่าแถบหัวเมือง ส่วนพริ้งทาสที่ใครๆก็ว่าสวยและฉลาดเป็นเบอร์หนึ่งของที่นี่ บัดนี้เธอกำลังพิถีพิถันแต่งตัวอยู่ในเรือนส่วนตัวที่แยกเป็นสัดส่วนต่างจากทาสคนอื่นๆ โดยมีทาสสาวสองคนที่เป็นสมุนยกยอปอปั้นไม่ขาดปาก แถมยังคาดหวังกันว่าถ้าคืนนี้ท่านชายโปรดพี่พริ้งขึ้นมาแล้วซื้อตัวไปอยู่ในวัง พวกตนก็จะได้
มีวาสนาไปอยู่่รับใช้ด้วย
“เป็นที่หนึ่งในโรงโสเภณีมีประโยชน์อันใด ถึงยังไงก็ได้ชื่อว่าเป็นทาส คอยดู คืนนี้ข้าจะปรนเปรอท่านชายดาบให้หลงใหลข้าจนโงหัวไม่ขึ้นทีเดียว” พริ้งมาดหมายอย่างมาก
ครั้นพากันเดินมุ่งหน้าจะไปห้องโถง เจอเอยาวดีเข้าอย่างจัง พริ้งสงสัยว่านางเป็นใครทำไมมานั่งตรงนี้ สมุนสองคนจึงรายงานว่ามันเป็นทาสใหม่ คนเขาลือว่าเป็นบ้า มันคงหนีงานมานั่งตรงนี้
พริ้งเพ่งมองผ่านความมืด ครุ่นคิดตามประสาคนฉลาดที่พยายามปกป้องฐานะของตนไม่ให้มีคู่แข่ง
“กลิ่นหอมอะไร ใช้น้ำอบรึ” พริ้งขยับเข้าไปใกล้ แต่เอยาวดีหลบหน้าไม่ตอบ พริ้งมีแววกังวล แล้วคลายกลายเป็นยิ้มมีชั้นเชิง “ข้าชื่อพริ้ง เรียกข้าพี่พริ้งเหมือนคนอื่นก็ได้ เอ็งมาอยู่กับข้าไหมล่ะ”
“พี่พริ้งมีเราสองคนแล้ว จะเอามันมาทำไมเจ้าคะ”
พริ้งไม่ตอบ แต่ใช้สายตาควบคุมสมุนทั้งสองก่อนบอก
ทาสใหม่ว่า “ข้าเป็นหญิงโคมเขียวที่มีราคาดีที่สุดของที่นี่ คุณแม่เกรงใจข้า ส่วนอีบางก็ไม่กล้ายุ่ง ถ้าเอ็งยินดีมารับใช้ข้า ข้าจะดูแลเอ็ง”
เอยาวดีไม่ทันว่ากระไร สมุนของพริ้งก็ยื่นขิมมาให้ “เอ้า รีบรับไปถือ แล้วเดินตามมานะ”
พอออกเดินนำไป พริ้งกระซิบสมุนว่า “อีนี่หน้าตามันหมดจดนัก เอาตัวมันไว้ใกล้ๆพวกเอ็งแล้วกำราบให้อยู่หมัด”
“กำราบมันได้หรือพี่”
“จัดการมันให้เต็มที่ ทำให้มันกลัวเรา ข้าจะหาหนทางไม่ให้มันได้พบกับคุณพระ”
“อ๋อ เพราะมันสวย เลยกลัวว่ามันจะมาแย่งตำแหน่งที่หนึ่งของพี่”
“อีกล้วย!” พริ้งแว้ดขึ้นอย่างฉุนเฉียว แต่เอยาวดีไม่รู้เห็นเพราะมัวแต่เดินก้มหน้าก้มตาตามมาห่างๆ
กระทั่งถึงห้องโถงที่จีนฮงหรือคุณพระพาณิชย์ให้ขวดเอาน้ำจันท์อย่างดีมารับรองท่านดาบ พริ้งคลานเข่าเข้ามาใกล้ท่านดาบ โดยให้สมุนสองคนกับเอยาวดีคอยอยู่ด้านออกซึ่งมองเห็นกัน แต่เอยาวดีเอาแต่ก้มหน้าด้วยกลัวจะถูกเรียกเข้าไปรับใช้และอาจถูกลวนลาม
พริ้งส่งสายตายั่วยวนขณะวางพานหมากพลูให้ท่านดาบ พลางบรรยายว่าตนเจียนเองรสชาติคงไม่แพ้ในวัง แต่พริ้งต้องหน้าม้านหยิบพานออกมาวางห่างๆ เพราะถูกท่านดาบปฏิเสธอย่างเย็นชา แต่ถึงกระนั้นคุณพระก็ไม่ยอมหยุดความพยายาม
“อีพริ้งคนนี้กำลังเฟื่อง ผู้ชายล้วนแย่งชิงถึงขนาดชกต่อยกันมาแล้ว คืนนี้ขอให้มันได้มีโอกาสถวายงานท่านชายที่เรือนรับรองเถอะนะขอรับ”
“ท่านหมายจะให้ข้าติดอกติดใจนางโลมสักคนสองคนเพื่อให้กลับไปทูลท่านเสนาบดีให้อนุญาตให้ท่านเปิดโรงโสเภณีแห่งที่สองงั้นรึ”
คุณพระอึ้ง คิดไม่ถึงว่าจะถูกรู้ทันเช่นนี้ ทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน “ฮะฮะฮ่า เขาลือกันว่าท่านชายทรงปรีชานัก เห็นจะจริงตามนั้น”
“โรงโสเภณีเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค หลายๆแห่งล้วนแต่ทรมานทาสหญิงให้ทำงานหนัก ในสายตาของข้าโรงโสเภณีควรมีแต่น้อย หรือไม่ก็ยกเลิก”
“หญิงโคมเขียวจ่ายภาษีเข้าหลวงคราวละมากๆ พระนครกำลังพัฒนา ทองสำรองในท้องพระคลังนับวันจะร่อยหรอลง ท่านดาบก็คงทราบ” น้ำเสียงเริ่มไม่พอใจ
“นับวันท่านจะถือดีไม่เกรงกลัวข้า ไม่เกรงกลัวใครๆ คงทะนงตนว่าหาภาษีเข้าหลวงได้มาก”
“หามิได้ กระผมเป็นคนจีนที่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ย่อมอยากสนองพระมหากรุณาธิคุณให้ยิ่งๆขึ้นไป เอ้า อีพริ้งมัวทำเฉย เล่นดนตรีถวายสิ”
“ไม่ต้องหรอก ข้ากำลังจะกลับ”
พริ้งชะงักไปอีก คุณพระมองหน้าท่านดาบอย่างแค้นเคือง แล้วข่มใจพยายามกล่อมต่อ
“เป็นชายมากด้วยบารมี ปฏิเสธหญิงนอนเคียงข้าง รู้ไปถึงไหนจะทำลายเกียรติของตัวเอง”
“สยามกำลังถูกพัฒนาให้เจริญยิ่งขึ้น ในประเทศที่เจริญเขาไม่นับหญิงเป็นเครื่องประดับเกียรติ ผู้ชายนับตั้งแต่รุ่นของข้าสืบไป คงนิยมผัวเดียวเมียเดียวกันมากขึ้น”
“อ้อ กระผมลืมไป ท่านชายเป็นพวกหัวสมัย”
“ผู้หญิงก็เป็นคน ทาสก็เป็นคน ข้าไม่นิยมเสพสมกับหญิงที่ข้าไม่มีจิตเสน่หา”
ท่านดาบพูดด้วยความมั่นใจแล้วลุกขึ้นเตรียมกลับ คุณพระส่ายหน้าที่กล่อมไม่สำเร็จสักที แต่ก็ไม่ละความพยายามที่จะให้ท่านดาบนอนกับทาสสาวของตนให้ได้
“เดี๋ยวสิขอรับ ดึกดื่นป่านนี้แล้วกระผมจัดห้องหับไว้ต้อนรับ เป็นห้องรับรองส่วนตัว น่าจะอยู่พักผ่อนก่อนพรุ่งนี้เช้าจึงค่อยกลับ”
“เห็นสมควรแล้ว ค่ำมืดดึกดื่นล่องเรือไม่น่าจะเหมาะ” ก้านเสนอหน้า เลยถูกท่านดาบตวาดดุจนจ๋อยไป
“อาญาแผ่นดินกำหนดให้ขึ้นทะเบียนหญิงโคมเขียวเพื่อจำกัดโรค หากท่านดาบพักที่นี่ กระผมจะจัดเอกสารให้ท่านตรวจตรา” คุณพระเอางานขึ้นมาอ้าง แต่ไม่สำเร็จอีก เพราะท่านดาบให้ส่งเอกสารทั้งหมดเข้าไปตรวจที่วัง
ขณะท่านดาบเดินออกจากห้องโถง เอยาวดีถูกใช้ให้ไปเอาน้ำชา สองฝ่ายจึงไม่เห็นกัน กระทั่งเอยาวดีถูกสมุนสองคนของพริ้งกำราบด้วยการตบตีทำร้าย ท่านดาบจึงเดินไปเห็นเอยาวดี ต่างฝ่ายต่างจำกันได้ แต่ดูเหมือนท่านดาบออกจะตกใจและผิดหวังอย่างมาก คิดว่านางคือหญิงโคมเขียวของที่นี่
ขณะขวดพาพวกนางทาสออกไป คุณพระมองออกว่าท่านดาบสนใจทาสคนใหม่ และจากการพูดจากันเมื่อครู่ก็น่าจะเคยพบกันมาก่อน จึงได้โอกาสคะยั้นคะยอให้เขาอยู่ต่อ ก็พอดีท่านดาบซวนเซด้วยฤทธิ์น้ำจันท์ ก้านเลยต้องพาไปพักที่เรือนรับรองส่วนตัวที่คุณพระจัดเตรียมไว้ให้แล้ว
จากนั้นคุณพระก็ไปสั่งการเนื่องให้แปลงโฉมทาสคนใหม่เพื่อเอาไปรับใช้ท่านชายคืนนี้ แต่พริ้งจะไม่ยอมเพราะอยากปรนนิบัติท่านดาบด้วยตัวเอง จึงเกาะแข้งขาขอร้องคุณพระเป็นการใหญ่
“หลีกไป...” คุณพระโวยวายสะบัดเท้าหนีเกือบโดนหน้าพริ้ง “ท่านชายไม่โปรดเอ็ง ดูก็รู้ ท่านชายโปรดนังนี่ เอ็งกลับไปทำงานที่ห้องโถงใหญ่ได้แล้ว กับเด็กๆของพวกเอ็งทั้งหมดนั่นล่ะ”
พริ้งหน้าเสียมาก หันไปมองเอยาวดีด้วยสายตาชิงชัง ก่อนพาตัวเองลุกออกไปพร้อมสมุนสองคน ส่วนเนื่องฉุดกระชากเอยาวดีเข้าไปในห้องด้านในเพื่อแปลงโฉม
“ไฉนท่านชายมีใจเสน่หาทาสวิปลาสเช่นนั้น” ขวดส่ายหน้าไม่อยากเชื่อ
“พรุ่งนี้คนทั้งวังต้องลือกันว่า แม้แต่ท่านชายดาบปราบศัตรูยังติดใจนางโคมเขียวของข้า ครานี้โรงโสเภณีของข้า คงเลื่องชื่อไปไกลทั่วทั้งแดนสยาม ฮะฮะฮ่า” คุณพระหัวเราะสาแก่ใจ
ooooooo
คืนเดียวกันนี้ที่จวนเจ้าเมือง วาดแอบปีนหน้าต่างห้องไปหาอองดินกับติ๊ดที่ถูกคุมขังอยู่อีกห้อง แล้วทำเก่งจะช่วยพาพวกเขาหนีออกไปจากที่นี่ แต่อองดินไม่เห็นด้วย
“ทำเช่นนี้ไม่ได้นะ ถ้าหนีตอนนี้หม่อมนวลจะเข้าไปเพ็ดทูลในวังว่าทางเราบิดพลิ้วการแต่งงาน เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทางฝ่ายสยามจะเข้าใจไปว่าเราตั้งใจหมิ่นพระเกียรติยศ”
“เราต้องออกติดตามเจ้าหญิงนะเจ้าคะท่านอองดิน จะมาถูกจองจำเช่นนี้ได้อย่างไร” ติ๊ดแย้ง
“ในเมื่อพูดความจริงไม่มีใครเชื่อ พูดความเท็จก็ไม่เห็น
จะยากอะไรนี่นา”
“พูดความเท็จ...ท่านหมายถึง...จะให้ยอมรับว่านางทาสวาดนี่เป็นเจ้าหญิงตัวจริงหรือเจ้าคะ”
อองดินพยักหน้า “ถ้าสมิงสินธูรู้ว่าเจ้าหญิงหายไปโดยไม่มีข้าคุ้มครอง มันคงให้คนออกตามหาเจ้าหญิงทั้งแผ่นดิน แต่ถ้าข่าวออกไปว่าเจ้าหญิงอยู่ภายใต้การรักษาความปลอดภัยของสยาม เจ้าอาคงยอมรามือชั่วคราว เจ้าหญิงก็จะทรงปลอดภัย”
ติ๊ดไม่ชอบความคิดนี้เลย มองวาดอย่างรังเกียจ วาดเองก็ใช่ว่าจะเต็มใจ แค่ยังห่วงค่าจ้างที่ยังไม่ได้ก็เท่านั้น...หลังจากตกลงกันเช่นนั้นแล้ว อีกไม่นานนักพวกหม่อมนวลก็มาปล่อยตัวอองดินและติ๊ด รวมทั้งวาดให้ออกมาคุยกันด้วยดี
“ท่านให้ทหารมาบอกว่ายอมรับผิดแล้ว แสดงว่าเจ้าหญิงองค์นี้เป็นองค์จริงใช่หรือไม่”
“สติปัญญาของหม่อมเฉียบคมยิ่งนัก ข้าเอาแต่ห่วงความปลอดภัยของเจ้าหญิงมุ่งแต่จะเชิญเสด็จพระองค์กลับ
เชียงน้อย มิทันนึกว่าจะทำให้หม่อมนวลเสียน้ำใจ”
หม่อมนวลหัวเราะร่วนรับคำชม โดยไม่รู้เลยว่าอองดินกำลังเล่นละครฉากใหญ่
“ได้ยินชัดไหม อีหนิม ท่านเจ้าเมือง คุณหญิง ได้ยินหมดใช่ไหม แผนของนายพลเชียงน้อยตบตาหม่อมนวลมิได้ดอก”
“ตกลง...ยกเลิกการจองจำเราแล้วใช่ไหมเจ้าคะ เรามีเรื่องต้องทำอีกมาก ปล่อยเราไปได้แล้วใช่ไหมเจ้าคะ” ติ๊ดเอ่ยขึ้นมา
“แหม ไฉนข้าจะกล้าลงโทษท่านจริงจัง ข้าหวังว่าท่านอองดินและนางข้าหลวงคงไม่ถือโทษกันนะ เจ้าหญิงเพคะ อย่าคิดหนีหม่อมฉันเลยนะเพคะ เรื่องลอบปลงพระชนม์นั่นให้พวกเราได้ถวายการช่วยเหลือเถอะนะเพคะ”
“ฮึ่ย...ต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกนานเท่าใดกันเนี่ย” วาดเผลอบ่น แถมออกท่าทางไม่งามเอาเสียเลยทั้งที่ใส่ชุดสวยงาม หนิมเห็นแล้วไม่วายคาใจ แอบบ่นกับตัวเองว่า
“ท่องเอาไว้ เจ้าหญิงทำหยาบคายเพื่อตบตาคนอื่นเท่านั้น ท่องเอาไว้ นังหนิม อย่าคิดมาก”
เสร็จสิ้นการสนทนากับพวกหม่อมนวลแล้ว อองดินกับติ๊ดตามวาดเข้ามาคุยส่วนตัวในห้อง
“พรุ่งนี้เช้าเจ้าไปย้ายข้าวของที่บ้านพักมาไว้ที่นี่ ต่อไปนี้เราจะพักที่นี่ ส่วนข้าจะออกไปตามหาเจ้าหญิงตั้งแต่เช้าตรู่” อองดินบอกกับติ๊ด
“เราหลอกเขาตอนนี้ เบื้องหน้าเมื่อพบเจ้าหญิงองค์จริงเราจะทำเช่นใดล่ะเจ้าคะ”
“เจ้าหญิงเอยาวดีไม่มีพระประสงค์จะเสกสมรสอยู่แล้ว เมื่อพบเจ้าหญิง พบองค์รัชทายาท เราทุกคนจะไปจากเมืองสยาม คงไม่มีโอกาสได้กลับมา เจ้าหญิงจะหน้าตาเช่นใดก็ไม่สำคัญ”
“พอถึงเวลา เราทิ้งจดหมายไว้สักฉบับ บอกว่าประเทศเชียงน้อยมีเหตุอะไรสักอย่างไม่สามารถเสกสมรสได้ แค่นี้ก็รอด ส่วนข้าก็เอาทองค่าจ้างของข้าไปไถ่ตัวข้า แม่ และนังไผ่เพื่อนข้า” พูดขาดคำวาดก็ยื่นมือมาตรงหน้าอองดิน
“ยื่นมือมาทำไม”
“ทองค่าจ้างของข้าล่ะ ท่านใช้งานข้ายาวนานกว่าเดิม ต้องให้มากขึ้นกว่าเดิมนะ”
“ถ้าข้าให้เจ้าตอนนี้ เจ้าก็เหมือนนกที่ใส่ปีก คงโบยบินหนีออกไปใช่หรือไม่”
“ฮึ่ย...รู้ทันนัก เบื่อจริง”
“เจ้าบอกว่าข้าเป็นเพื่อน ยามนี้เพื่อนขอให้เพื่อนช่วย เจ้าอย่าใจดำนักเลย เจ้าหญิงหายไปคราวนี้ข้าเจ็บปวดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้ว อยู่ช่วยข้าอีกหน่อยเถอะ”
วาดไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่มองหน้าอองดินที่ขอร้องตนแล้วถอนหายใจ
ooooooo
หลังจากแต่งตัวให้เอยาวดีเสร็จสรรพ เนื่องก็พาเธอไปที่ห้องโถง ทุกคนในที่นั้นตะลึงมองความงามของเอยาวดีเป็นตาเดียว คุณพระถึงกับออกปากชมว่าสวยหยาดเยิ้มเช่นนี้เองท่านชายถึงมีใจเสน่หา แต่นั่นยิ่งทำให้พริ้งเขม่นเอยาวดีมากขึ้น ด้วยกลัวตัวเองจะตกกระป๋องก็คราวนี้
ถึงเวลาพาเอยาวดีเข้าไปรับใช้ท่านดาบ แต่เธอขัดขืนไม่ยอม ขวดเลยชกเข้าที่ท้องจนเธอหมดสติก่อนจะอุ้มไปที่เรือนรับรองแล้วจัดให้เธอนอนเคียงคู่บนเตียงกับท่านดาบที่มึนเมาหลับไปแล้ว
“ปล่อยมันไว้อย่างนี้ ลั่นดาลประตูซะ พรุ่งนี้เช้าค่อยมาเปิด มีหญิงงามนอนเคียงข้างทั้งคืน ข้าอยากรู้จะมีชายใดใจแข็งต่อไปได้ ฮะฮะฮ่า” คุณพระหัวเราะร่า แล้วนำหน้าขวดกับเนื่องออกไปจากห้อง
ก้านออกไปหายาจะเอามาให้ท่านดาบ แต่ไม่สามารถเปิดประตูห้องได้ บ่นด้วยความสงสัยว่าใครมาลั่นดาลไว้
“ฝีมือของแม่เองจ้ะ” เนื่องเดินยิ้มมาหา “ยานี่ไม่ต้องดอก เราให้นางทาสบ้า เอ้อ แม่วาด เข้าไปถวายงานแล้ว”
“แม่วาด...นางไม้นั่นน่ะรึ ท่านชายไม่สบาย ทำเช่นนี้ไม่ได้ ข้าเป็นคนสนิท ข้าต้องเข้าไปดูแลท่าน ให้คนเปิดประตูเดี๋ยวนี้”
“เรื่องดูแลปล่อยให้แม่วาดจัดการเถอะ พ่อก้านเป็นต้นห้อง เป็นทหารคนสนิท ดูแลท่านชายมานาน ไม่เหนื่อยรึไง”
ก้านไม่ฟัง ดึงดันแข็งขันสั่งให้เนื่องเปิดประตู แต่พอเนื่องพานางโลมสองคนมานำเสนอ ก้านก็อ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟ แทบจะให้สองสาวนั้นอุ้มไปอีกห้อง...
ooooooo