น่ายินดีที่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสถานะของ พยาบาลวิชาชีพ ที่เป็นลูกจ้างชั่วคราวจำนวน 10,992 อัตราให้เป็น ข้าราชการประจำ ตามข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขซึ่ง มติ ครม. เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2560 เสียงแข็งตามความเห็นของ คปร. ว่า ไม่อนุมัติเด็ดขาด นั้นเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี โดยในการประชุม ครม. นัดถัดมา 17 พฤษภาคม 2560 ได้มีการทบทวนเรื่องนี้แล้วและผลออกมาประมาณว่าในระยะแรกนี้จะบรรจุให้เป็นข้าราชการได้ทันที 2,200 ตำแหน่ง จากอัตราที่ได้มาเกลี่ยรวมกับผู้เกษียณอายุทำให้มีจำนวน พยาบาลวิชาชีพ ที่ควรจะได้สิทธินี้เหลือ 8,792 ตำแหน่ง ซึ่งมีคำมั่นสัญญาว่าจะแบ่งการบรรจุออกเป็น 3 รุ่นคือภายในปี 2560 นี้อีก 2,930 ตำแหน่ง ภายในปี 2561 จำนวน 2,931 ตำแหน่ง และ ภายในปี 2562 จำนวน 2,931 ตำแหน่ง โดยพิธีกรรมทางเอกสารการอนุมัติอย่างเป็นทางการจะเข้า ครม.อีกครั้งในวันที่ 23 พฤษภาคมนี้...

ผลที่ติดตามมาที่เห็นได้ชัดเจนคือความพอใจของผู้เรียกร้องและไม่มีการลาออกครั้งมโหฬารคราวเดียวเป็นหมื่นคนของพยาบาลอีกแล้ว และถ้าหากจะถามว่าความสำเร็จในกรณีนี้เป็นมาได้อย่างไรและต้องขอบคุณใครเป็นพิเศษนั้น สำหรับ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นั้นเป็นหน้าที่โดยตรงในการต่อสู้เพื่อผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างน่าชื่นชม แต่คนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จที่แท้จริงคือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้บริหารราชการแผ่นดินโดยไม่ยึดติดกับทิฐิ อะไรควรอะไรไม่ควรก็ให้เป็นไปตามเหตุผล และอีกรายก็คือรองนายกรัฐมนตรี วิษณุ เครืองาม ที่ใช้คำอธิบายด้วยวาจาคลี่คลายปัญหาออกมาได้เป็นเปลาะๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือการ ขอบคุณตัวเอง สำหรับชาวพยาบาล ที่รวมตัวกันเหนียวแน่นจนประสบความสำเร็จ...

...

กรณีนี้มิใช่กรณีตัวอย่างสำหรับ ข้าราชการฝ่ายอื่น ว่าถ้าอยากจะเรียกร้องอะไรต้องใช้มาตรการแบบนี้ เพราะอาจจะโดนโห่เอาได้ง่ายๆ อย่างน้อยช่วงเวลาการทำงานก็ยืนอยู่ที่ 08.30-16.30 น. ไม่ต้องเข้าเวรบ่าย 15.00-23.00 น. หรือเวรดึก 23.00-07.00 น. อย่างที่พยาบาลเข้ามาทั้งชีวิต...

พอมีเรื่องพยาบาลเข้ามากลบเรื่อง แม่ฮ่องสอน ก็พลอยแผ่วไป รอผลการสอบข้อเท็จจริงของกระทรวงมหาดไทยออกมาแล้วจะเห็นชัดว่าจะมีการปกป้องเพื่อนพ้องน้องพี่ร่วม ขบวนการแมวดำ กันขนาดไหน ประเด็นแรกถ้าเจาะจงว่า ผู้ว่าฯซื้อบริการหรือไม่ ผลออกมาร้อยทั้งร้อยว่าไม่มีการซื้อแน่นอน คนระดับนี้มีหรือจะต้องลงมือติดต่อเอง แต่ถ้าตั้งประเด็นว่ามีการ ใช้บริการหรือไม่ เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นหนังยาวเพราะเริ่มเรื่องก็มีการยืนยันกันแต่แรกจากกลุ่มผู้เกี่ยวข้องจะผิดถูกไม่รู้อยู่ที่วิธีการขจัดปัดเป่าอันชำนิชำนาญของทั้งตำรวจและมหาดไทย...

ที่แน่ๆก็คือไม่ว่าผลสอบออกมาอย่างไรก็ไม่ควรให้ สืบศักดิ์ เอี่ยมวิจารณ์ กลับไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนต่อไปอีก จะให้ไปที่ไหนๆก็เชิญตามสะดวก ยืนยันว่าคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ยามนี้คือ สายพิรุณ น้อยศิริ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทยนักพัฒนาชุมชนที่มีเวลาราชการถึง 30 กันยายน 2561 อีกปีเศษจึงมีเวลาพอที่จะเยียวยาจิตใจผู้หญิงที่แม่ฮ่องสอนที่กำลังสั่นสะเทือนด้วยความละอายให้คืนสู่สภาพปกติ...

มาถึงข่าวคราวการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศมีการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตอีกรายคือ เชิดเกียรติ อัตถากร รองอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก ไปเป็น เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา ส่วน กระทรวงศึกษาธิการ ย้าย ข้าราชการพลเรือนสามัญ ในสังกัดระดับรองหัวหน้าหน่วยงาน 2 ราย คือ ชัยยศ อิ่มสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวง เป็น รองเลขาธิการสภาการศึกษา สลับกับ วัฒนาพร ระงับทุกข์ รองเลขาธิการสภาการศึกษา เป็น รองปลัดกระทรวง...

“ซี.12”