จากคดีตำรวจกองปราบปรามจับกุมตัว น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือซินแสโชกุน ที่ร่วมกับพวก 9 คน ฉ้อโกงประชาชนด้วยการหลอกลวงผู้เสียหายกว่า 1,000 คน เดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์วันที่ 11-16 เมษายน
คนถูกลอยแพเดินทางไม่ได้ เกิดความโกลาหล วุ่นวาย ไปทั้งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กองปราบปรามดำเนินคดีเข้าข่าย “แชร์ลูกโซ่” ธุรกิจขายตรงอาหารเสริมที่ ซินแสโชกุน เป็นผู้บริหารบริษัท ใช้วิธีโฆษณารับสมัครสมาชิกด้วยเงินลงทุนแลกกับโปรโมชั่นไปเที่ยวญี่ปุ่น มีคนตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงจำนวนมาก
ตีเป็นเงินกว่า 50 ล้านบาท
แต่ที่ผ่านมายังมีบริษัททัวร์นำเที่ยวอีกมากที่คิดหลอกลวงนักท่องเที่ยวชาวไทย ใช้การโฆษณาสร้างความน่าเชื่อถือของบริษัทนำเที่ยว ชักชวนให้คนมาซื้อทัวร์ร่วมทริปเดินทาง พอถึงกำหนดเดินทางกลับปล่อยให้นักท่องเที่ยวอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินในต่างประเทศ เพราะเอกสารเดินทางไม่ครบถ้วน
เหยื่อที่ถูกหลอกส่วนใหญ่เป็นคนต่างจังหวัดไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ ต้องพึ่งพาบริษัททัวร์นำเที่ยว เพราะคิดว่าสะดวกและมั่นใจได้ได้เดินทางไปเที่ยวตามโปรแกรมของบริษัททัวร์ที่โปรโมตไว้
เป็นอีกเรื่องที่ พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผบช.สตม. มาเตือนคนที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศ ให้เลือกจองแพ็กเกจท่องเที่ยวกับบริษัทที่น่าเชื่อถือและเตรียมเอกสารการเดินทางให้พร้อม หรืออาจเลือกท่องเที่ยวภายในประเทศไทย ทั้งประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ถูกต้มนอนรอที่สนามบินหรือถูกส่งกลับมา
ช่วงวันหยุดหลายวัน คนไทยนิยมพาครอบครัวไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ ทำให้ราคาตั๋วเครื่องบินและที่พักมีราคาสูงกว่าปกติ คนจำนวนมากจึงเลือกซื้อแพ็กเกจทัวร์ผ่านบริษัทเอเย่นต์ท่องเที่ยว มิจฉาชีพหัวใสแฝงตัวมาในรูปแบบบริษัทขายตรง หลอกลวงเสนอขายแพ็กเกจท่องเที่ยว มีผู้หลงเชื่อจ่ายเงินจำนวนมาก
...
สุดท้ายถูกลอยแพ
นอกจากปัญหานักท่องเที่ยวไทยถูกหลอกลวงแล้ว มีคนไทยถูกส่งกลับจากต่างประเทศ เป็นอีกปัญหาของคนที่เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก เพราะไม่ได้มีการเตรียมตัวที่ดีพอ ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดเกิดจากเอกสารหนังสือเดินทางมีอายุน้อยกว่า 6 เดือน อาจถูกบางประเทศส่งกลับ วีซ่าหมดอายุ ไม่เตรียมเอกสารจองที่พักและตั๋วเครื่องบินขากลับ แสดงเวลาผ่าน ตม.ต่างประเทศ
สถิติสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองระหว่างวันที่ 1-14 เม.ย. เพียง 14 วัน มีคนไทยถูกส่งกลับจากต่างประเทศ 1,914 ราย ประเทศที่ส่งกลับคนไทยสูงสุด มีเกาหลีใต้ 1,649 ราย, ฮ่องกง 129 ราย และสิงคโปร์ 69 ราย
เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก.
“เพลิงพยัคฆ์”
pluengpayak@thairath.co.th