ตอนหนึ่งใน หนังสือ “เกร็ดภาษา หนังสือไทย” ฉบับปรับปรุง (สถาพรบุ๊คส์ พิมพ์ครั้งที่ 9 พ.ศ.2560) อาจารย์ ส.พลายน้อย พูดถึงภาษาที่กลายความหมายเดิมคำหนึ่ง คือคำว่า “ซ่อง”

ถ้าพูดว่า “ไปเที่ยวซ่อง” ก็เป็นที่เข้าใจ ชายนั้นไปในสถานบริการโสเภณี คำว่าซ่องการพนัน เคยใช้กัน แต่ตอนนี้ เปลี่ยนไป กลายเป็นบ่อนการพนัน

โดยรวม คำ “ซ่อง” สื่อความหมายไปในทางไม่ดี

ในประวัติศาสตร์ไทย สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ปรากฏว่ามี “นายซ่อง” อยู่หลายแห่ง แต่ “นายซ่อง” ที่ว่านี้ มีความหมายไม่เหมือนที่ใช้สมัยหลัง

พงศาวดารกล่าวไว้ ตอนหนึ่ง

ขณะนั้น กิตติศัพท์เลื่องลือไปทุกหัวเมืองว่า เจ้าตากเสด็จยกกองทัพออกมา จะช่วยคุ้มครองป้องกันประชาราษฎรในหัวเมืองตะวันออก ให้พ้นภัยพม่าข้าศึก

บรรดาไทยจีน ซึ่งเป็นนายซ่อง นายชุมนุมอยู่ในบ้านในป่าแขวงหัวเมืองทุกตำบล ก็พาสมัครพรรคพวกเป็นกองๆ มาสวามิภักดิ์เป็นข้าขอพึ่งพระบารมีเป็นอันมาก

นายซ่องในที่นี้ คือหัวหน้าที่ทำการเกลี้ยกล่อมผู้คน

สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ว่า

คำว่า “ซ่อง” นี้ ตามประเพณีที่มีมาแต่เดิมนั้น หมายความว่าเกลี้ยกล่อมผู้คน ซึ่งไปเที่ยวหลบหลีกแอบแฝงกระจายอยู่ตามป่าดง ให้มาอยู่หรือเข้าทะเบียน รวบรวมเป็นหมวดเป็นกองกัน เพื่อจะให้เป็นกำลังแผ่นดินได้ในเวลาต้องการ

การตั้งซ่องในสมัยโบราณ ตามปกติก็ต้องใช้คนที่มีอำนาจ มีคนเชื่อถือเป็นหัวหน้า

แต่โดยเหตุที่คนเรามีความคิดไม่เหมือนกัน บางคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว คบคิดเป็นโจรผู้ร้าย ลักขโมยวัวควายชาวบ้านไปไว้ในซ่อง บางทีก็มีการเล่นการพนันขึ้นในซ่อง

ด้วยเหตุนี้ ความหมายของคำว่าซ่อง จึงได้กลายเป็นความหมายที่ไม่ดี เป็นที่ของโจรผู้ร้ายหรือโสเภณีมั่วสุม

...

เรื่องของภาษา ที่กลายความหมายจากเดิม มีอยู่มากมาย ตัวอย่างชื่อบ้านสามเสน

สุนทรภู่ เขียนไว้ในนิราศภูเขาทองว่า

ถึงสามเสนแจ้งความตามสำเหนียก เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี ไม่เคลื่อนที่ชลทานบาดาลดิน จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง เออ ชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น

นี่หรือรักจักมิน่าเป็นราคิน แต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ

อ่านนิราศสุนทรภู่แล้ว ผมย้อนไปนึกถึงคำว่า “ซ่อง” ที่แต่เดิมเริ่มจาก “ซ่องสุม” ผู้คนมาช่วยกันกู้บ้านกู้เมือง ถ้าการซ่องสุมผู้คนในสมัยต่อมา ล้วนแต่ “ก่อการดี” บำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร เป็นที่โมทนาสาธุกันทั่วไป

คำซ่องก็อาจถูกนำมาใช้ ในการรวมผู้คน แทนคำว่า “พรรค” ที่ใช้กับการเมือง

ลองมโนถึงชื่อพรรค ที่ใช้คำนำหน้าว่า “ซ่อง” ดูก็ได้ เมื่อคนในซ่อง ทั้งคิดดี ทำดี พูดดี ไม่โกหกพกลม กลับกลอก หาประโยชน์ใส่ตัวไปวันๆ ตกลงกันเรียบร้อย ไม่ต้องใช้หน้าม้า ออกมา “เขย่า” ใส่กัน ก็ตั้งรัฐบาลกันได้ทันที

เราก็คงจะใช้คำ “ซ่อง” นำหน้าได้อย่างสบายใจ

แต่ถ้าความจริงปรากฏว่า ผู้คนในพรรคสมัยใหม่ มีปกตินิสัยเหมือนโจร พูดจาเชื่อไม่ได้ เผลอเมื่อไรก็โกงกินไม่นานไม่ช้า แม้คำว่า “พรรค” ก็อาจมีชะตากรรมเหมือนคำว่าซ่อง

ชื่อสามแสนกลายเป็นสามเสนได้ พรรคก็กลายเป็นซ่องได้ เหมือนที่สุนทรภู่ว่า ภาษาเปลี่ยนง่ายเหมือนใจคน.

กิเลน ประลองเชิง