ช่วงนี้นักลงทุนไทยเทศต่างผวากับการกลับมาของเพลง “หนักแผ่นดิน” ที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก บอกว่า เป็นเพลงฮิต แนะนำให้นักการเมืองฟัง แม้จะมีการยกเลิกคำสั่งให้เปิด เพลงหนักแผ่นดิน เพลงมาร์ชทหารบก เพลงความฝันอันสูงสุด ในสถานีวิทยุเครือข่ายทหารบก 126 สถานีทั่วประเทศ วันละสองเวลา แต่ยังคงให้เปิด 3 เพลงนี้ในหน่วยงานทหารทั่วประเทศผ่านเสียงตามสายวันละ 3 เวลา 07.20 น. 12.20 น. 16.20 น. ทำให้บรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งที่กำลังคึกคักอึมครึมไปทันที พร้อมกับคำถามที่ไม่มีคำตอบ จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคมหรือไม่

นี่คือ สถานการณ์ความไม่แน่นอน ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย

สถานการณ์ “ความไม่แน่นอน” ที่เกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนไทยและต่างชาติเกิดความลังเลใจในการตัดสินใจลงทุน wait and see รอดูสถานการณ์ก่อนให้ชัดเจนก่อนดีกว่า ถ้ามีการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม มีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว ค่อยตัดสินใจลงทุนก็ยังไม่สาย เพราะ ประเทศเพื่อนบ้านไทย มีโอกาสให้ลงทุนเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศเวียดนาม ที่แซงหน้าไทยไปไกลมากแล้ว

ทุกวันนี้ สถานการณ์การลงทุนในประเทศไทย ถือว่า อยู่ในภาวะทรงกับทรุด แม้จะมี โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) มีโครงการเมกะโปรเจกต์มากมาย ใช้เงินลงทุนหลายล้านล้านบาท แต่ทุกโครงการยังอยู่บนแผ่นกระดาษไม่มีการลงทุนจริง

วันก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. ผู้สมัครนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ ได้เรียกประชุม คณะกรรมการอีอีซี เพราะมีข่าวว่าโครงการเมกะโปรเจกต์หลายโครงการไม่คืบหน้า เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่กำลังเจรจากับซีพีที่มีเงื่อนไขเพิ่มเติมจากทีโออาร์ โครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ที่มีผู้ยื่นซองประมูลเพียง 1 รายจากผู้ซื้อซองไป 32 ราย โครงการสนามบินอู่ตะเภา โครงการท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 เป็นต้น มูลค่าลงทุนกว่า 600,000 ล้านบาท ต้องเลื่อนหมด บางโครงการมีข่าวลือว่าล็อกสเปกผู้ชนะไว้แล้ว บางโครงการก็ไปเชื้อเชิญบริษัทจีนมาลงทุนโดยตรง ฯลฯ

...

ในทางกลับกัน บริษัทเอกชนไทยกลับนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ เพิ่มขึ้น

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ นสพ.ประชาชาติธุรกิจ ว่า จากข้อมูลย้อนหลัง 6 ปี ตั้งแต่ปี 2556-2561 พบว่า เศรษฐกิจมีการเติบโต แต่รายได้ของประชาชนไม่เพิ่มขึ้น แม้ดัชนีเศรษฐกิจจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่รายได้ของประชาชนมีการเติบโตที่ตํ่ากว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจมาก (รายได้คงไปอยู่ที่คนรวยหมด) เมื่อหักเงินเฟ้อออก รายได้แทบไม่มีการเติบโต โดยเฉพาะรายได้ประชาชนในภาคเกษตร

เมื่อรายได้ประชาชนไม่เพิ่ม การลงทุนก็ไม่ฟื้น ไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่ระดับการลงทุนที่แท้จริง ทั้งภาครัฐและเอกชนยังตํ่ากว่าปี 2540 ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ขณะที่ทุกประเทศได้กลับมาเติบโตสูงกว่าได้แล้ว นี่เป็นเหตุผลสำคัญอันหนึ่งว่าทำไมประสิทธิภาพแรงงานไทยไม่เพิ่ม ดังนั้นค่าจ้างจึงไม่ค่อยโต

ดร.เศรษฐพุฒิ ระบุว่า การที่เอกชนไทยไม่ลงทุน ไม่ใช่เพราะปัญหาดอกเบี้ยสูง บริษัทใหญ่มีเงินสดล้น โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่คนไทยรายได้ไม่เพิ่ม ทำให้เอกชนไทยต้องหันไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ เช่น ปี 2559 ไปลงทุนต่างประเทศ 472,399.13 ล้านบาท ปี 2560 ไปลงทุนต่างประเทศ 624,576.75 ล้านบาท ปี 2561 (11 เดือน) ไปลงทุนต่างประเทศ 557,543.43 ล้านบาท ช่วงไม่ถึง 3 ปีนี้ คนไทยนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศสูงถึง 1.655 ล้านล้านบาท มากกว่าเงินลงทุนที่ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในระยะเดียวกันถึง 901,038.88 ล้านบาท

มาเจอเพลง “หนักแผ่นดิน” เข้าไปอีก เลยยิ่งไม่รู้จะลงทุนอะไรดี.

“ลม เปลี่ยนทิศ”