เมื่อวานนี้ผมเขียนถึง “ฝุ่นพิษ” หรือ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน และ 10 ไมครอน ฝุ่นสกปรกที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศกรุงเทพฯและปริมณฑล เพิ่มสูงขึ้นมากจนเกินมาตรฐานไทย (ที่ยังต่ำกว่ามาตรฐานโลก) จนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง ทำให้ กรมอนามัย ต้องประกาศเตือนให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงงดออกนอกบ้าน วันนี้ผมมีข่าวจาก สำนักข่าวบีบีซี รายงานถึง งานวิจัยของมหาวิทยาลัยยูทาห์ สหรัฐฯ ที่ตีพิมพ์ใน นสพ.เดอะ การ์เดียน ของอังกฤษมาเล่าสู่กันฟังเพื่อให้ ประชาชน ได้รับรู้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชนเพียงใดงานวิจัยชิ้นนี้ตีพิมพ์ใน วารสาร Fertility and Sterility ของ เมืองซอลต์ เลค ซิตี้ สหรัฐฯ ระบุว่า มลพิษทางอากาศทำให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ เสี่ยงที่จะแท้งลูกพอๆกับการสูบบุหรี่ (กรมอนามัยจึงให้ผู้หญิงตั้งครรภ์งดออกจากบ้าน) มลพิษทางอากาศยังเพิ่มความเสี่ยงให้ผู้หญิงตั้งครรภ์คลอดก่อนกำหนด และ ทำให้เด็กแรกเกิดมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ ผลงานวิจัยอีกชิ้นยังพบว่า มีการพบอนุภาคมลพิษทางอากาศที่รกของทารกในครรภ์อีกด้วย นี่คือพิษร้ายของมลพิษในอากาศที่ถูกหายใจเข้าไปในร่างกายงานวิจัยชิ้นนี้ได้ประเมิน ผลกระทบในระยะสั้น ของ มลพิษทาง อากาศ พบว่า ระดับไนโตรเจนออกไซด์ (NO2) ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มความเสี่ยงในการแท้งลูก 16% ไนโตรเจนออกไซด์เกิดจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงที่ไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลนอกจากนี้ยังมี งานวิจัยของสำนักงานสาธารณสุขรัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา เมื่อสองปีก่อนรายงานว่า จากการติดตามศึกษาบันทึกสุขภาพของประชาชนราว 2 ล้านคนในรัฐออนแทรีโอเป็นเวลา 10 ปี ตั้งแต่ปี 2001–2012 พบว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวผู้ถูกวิจัยมีผู้ป่วยเป็น “โรคสมองเสื่อม” ทั้งสิ้น 243,611 คน ผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้กับถนนสายหลักที่มีการจราจรคับคั่ง มีโอกาสป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมสูงกว่าบริเวณอื่นงานวิจัยได้เปรียบเทียบข้อมูล ผู้ที่อยู่ห่างจากถนนใหญ่ พบว่า ผู้ที่อยู่อาศัยในรัศมี 50 เมตรจากถนนใหญ่ มีแนวโน้มเป็นโรคสมองเสื่อมสูงกว่า 7% ผู้ที่อยู่ห่างจากถนนใหญ่ 50-100 เมตร มีแนวโน้มเป็นโรคสมองเสื่อมสูงกว่า 4% ส่วน ผู้ที่อยู่ห่างจากถนนใหญ่ 101–200 เมตร มีแนวโน้มเป็นโรคสมองเสื่อมสูงกว่า 2%นายแพทย์หง เซิน หนึ่งในทีมวิจัยระบุว่า ประชากรที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของเมืองใหญ่ ทำให้คนจำนวนมากต้องอาศัยอยู่ใกล้บริเวณที่มีการจราจรคับคั่ง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพในอนาคต เช่น เสียงรบกวน และ มลพิษทางอากาศ ที่เกิดจาก ฝุ่นละอองขนาดเล็ก เช่น อนุภาคจากยางรถยนต์ที่หลุดออกเมื่อเสียดสีกับพื้นถนน และ ไนโตรเจนออกไซด์ จากการเผาผลาญของเครื่องยนต์ดีเซล อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมที่ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก็มีรายงานจาก คณะกรรมการตรวจสอบผลกระทบทางการแพทย์จากมลพิษทางอากาศ พบว่า บางเส้นทางของรถไฟใต้ดินในกรุงลอนดอน มีระดับมลพิษทางอากาศสูงกว่าริมถนนในเมืองถึง 30 เท่า งานวิจัยพบว่าการเดินทางด้วยระยะทางเท่ากัน ผู้โดยสารรถบัสจะได้รับมลพิษทางอากาศราว 1 ใน 3 ของการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน ไปลอนดอนเที่ยวหน้าคงต้องเลิกใช้รถไฟใต้ดินฝุ่นละอองชนิดละเอียด 2.5 ไมครอน PM2.5 สามารถผ่านเข้าสู่ร่างกายทาง โพรงจมูก ลำคอ หลอดลมใหญ่ เข้าไปใน ถุงลม และ ปอด ได้ง่ายมาก และก่ออันตรายต่อสุขภาพอย่างมหันต์ เช่น ไอ จาม มีนํ้ามูก เจ็บคอ มีเสมหะ ทำลายระบบประสาท ทำให้เป็นอัมพาตโรคผิวหนัง ภูมิแพ้ ไซนัส หายใจลำบาก เสี่ยงต่อ โรคมะเร็งปอด โรคหลอดเลือดในสมอง โรคหัวใจขาดเลือด โรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจส่วนล่างเป็นมหันตภัยที่ประชาชนมองไม่เห็น รัฐบาล และ กทม. ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอโดยเร่งด่วน ไม่ใช่แก้ปัญหาแบบผักชีโรยหน้า ฉีดนํ้าล้างถนน โปรยละอองนํ้า ทำฝนหลวง แล้วปล่อยให้ต้นตอปัญหาคาอยู่อย่างเดิม เพื่อเกิดขึ้นอีกซํ้าซาก.“ลม เปลี่ยนทิศ”