ด้วยอานุภาพของภาษาคำว่า “โง่” เพียงคำเดียว กลายเป็นพาดหัวข่าวโด่งดังไปทั้งประเทศ อันเนื่องมาจากหนังสือที่ลงนามโดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เชิญผู้แทนหน่วยราชการร่วมประชุม เพื่อหารือแนวทางในการดำเนินภารกิจ “ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่” เป็นการประชุมกำหนดภารกิจเพื่อต้อนรับการเดินทางลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีแม้จะมีการเปลี่ยนข้อความเป็น “ทำอย่างไรให้ประชาชนมีความรู้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลง” ในหลายวันต่อมา แต่ก็สายเกินไป อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นชี้แจงว่า จังหวัดมีนโยบายที่จะแก้ปัญหาวัฏจักรชีวิตคน คือ โง่ จน เจ็บ แต่เจ้าหน้าที่คงจะร่างหนังสือด้วยความไม่รอบคอบ ขณะที่แม่ทัพภาคที่ 2 สงสัยว่ารองผู้ว่าราชการจังหวัดโดนลูกน้องวางยาความผิดพลาดเกิดจากการร่างหนังสือไม่รอบคอบ อาจจะใช่ แต่คงไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนวางยาผู้บังคับบัญชา เพราะเห็นได้ชัดว่าเป็นการร่างหนังสือตามวัตถุประสงค์สำคัญของการประชุม คือร่วมหารือเพื่อแก้ปัญหา “โง่ จน เจ็บ” เพียงแต่ตัด “จน เจ็บ” ออกไป แต่ต้องยอมรับว่าจังหวัดมีนโยบายสำคัญที่จะแก้ปัญหา “โง่” ร่วมอยู่ด้วย เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีโง่ จน เจ็บ เป็นนโยบายสำคัญ ในการพัฒนาชนบทของทางราชการไทยมานมนาน มาก่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรก 2504 ด้วยซ้ำ เชื่อว่าเป็นแนวคิดของสหประชาชาติมองว่าเป็นวัฏจักรชีวิต หรือวงจรอุบาทว์ โดยอธิบายว่าเพราะโง่จึงยากจน และโรคภัยเบียดเบียนวนเวียนอยู่อย่างนี้ แต่คำว่า “โง่” น่าจะถอดมาจากคำอังกฤษ ignorance ไม่น่าจะมาจาก stupidถ้ามาจาก ignorance จะมีความหมายว่า “ความไม่รู้” ไม่ใช่ตราหน้าว่าโง่ดักดาน แม้แต่คณะผู้นำในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ก็มองว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่จบประถมศึกษา จึงเขียนรัฐธรรมนูญให้มี ส.ส. 2 ประเภท คือ เลือกตั้งและแต่งตั้งจำนวนเท่ากัน อำนาจเท่ากัน มองว่าคนไทยยังด้อยการศึกษา เลือกผู้แทนไม่เป็น คณะรัฐบาลจึงอาสาเลือกแทนจากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านไปแล้วเกือบ 86 ปี คนไทยในปัจจุบันมีการศึกษาขั้นต่ำโดยเฉลี่ยจบ ม.3 จากที่มหาวิทยาลัยแห่งเดียวในประเทศ กลายเป็นมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นนับร้อยๆแห่งทั่วประเทศ มีคนจบปริญญาตรี โท เอก นับแสนนับล้าน แต่รัฐธรรมนูญ 2560 ก็ยังให้ ส.ว. 250 คน หรือครึ่งหนึ่งของ ส.ส. มาจากการแต่งตั้ง อาจเป็นห่วงว่าคนไทยเลือกผู้แทนไม่เป็น“โง่ จน เจ็บ” จึงยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง ไม่เฉพาะประชาชน แต่เป็นปัญหาแม้แต่ในหมู่นักการเมือง ข้าราชการระดับสูง และผู้มีอำนาจหลายคนไม่มีความรู้ความเข้าใจในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ดังที่พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ตั้งข้อสังเกตว่าทำไมคนกรุงเทพฯจึงยืนอยู่ตรงข้ามประชา-ธิปไตย หากเป็นจริงจะต้องรณรงค์ให้การศึกษาการเมืองครั้งใหญ่.