หลังจากที่ลังเลใจอยู่หลายวัน จะยื่นหรือไม่ยื่นดี ในที่สุดสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็ตัดสินใจเข้าชื่อยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เหตุผลที่ยื่นเนื่องจากเกรงว่าจะเกิดปัญหา ถ้ามีคนร้องให้ศาลตีความ หลังจากที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ อาจทำให้โรดแม็ปเลือกตั้งสะดุด

เลขานุการคณะกรรมาธิการกิจการ สนช.ชี้แจงว่า สนช.ยื่นให้ตีความร่างกฎหมาย ส.ว.อย่างเดียว เชื่อว่าจะไม่ทำให้ต้องเลื่อนการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้ยื่นตีความร่างกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. เนื่องจากจะมีผลกระทบโรดแม็ปการเลือกตั้ง แต่ถ้าเป็นห่วงเรื่องไม่ยื่นเรื่อง ส.ส. ขอให้ทุกพรรคการเมืองร่วมทำสัตยาบัน ยินยอมเลื่อนการเลือกตั้ง ส.ส.ออกไป 3 เดือน

เห็นได้ชัดว่านอกจากจะขาดความรอบคอบในการปฏิบัติหน้าที่แล้ว สนช.ยังขาดความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง และยังทำหน้าที่ด้วยความกลัวว่าจะถูกด่า หรือวิพากษ์วิจารณ์ เป็นเหตุให้ต้องเลื่อนการเลือกตั้งไปเรื่อยๆ เช่น การแก้ไขร่างกฎหมายลูกจนต้องตั้งคณะกรรมาธิการร่วมสามฝ่าย และการให้กฎหมายมีผลหลังประกาศใช้ 90 วัน

แม้แต่การยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ก็สะท้อนถึงความลังเลใจ ไม่มั่นใจ และไม่สะเด็ดน้ำ เพราะยังมีร่างกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ที่จะต้องกังวลต่อไป จึงไม่น่าแปลกใจที่เสียงวิจารณ์จากหลายฝ่าย ว่า สนช.สร้างปัญหามาหลายเรื่อง ไม่ทราบว่าใครต้องรับผิดชอบ เป็นที่เอือมระอาในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะการเลื่อนเลือกตั้ง สงสัยว่าเล่นเกมอะไร

น่าสังเกตว่าในสังคมไทย ถ้าเป็นประชาชนธรรมดามักจะท้าคู่กรณีสาบาน ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเกิดปัญหา หรือวิวาทะที่หาข้อยุติไม่ได้ แต่ถ้าเป็นนักการเมืองมักจะท้าให้ทำสัตยาบัน หรือสัญญาประชาคม คราวนี้ท้าทุกพรรคการเมืองร่วมทำสัตยาบัน ยินยอมให้เลื่อนการเลือกตั้ง ไม่ทราบว่าจะมีใครยอมรับ คำท้าหรือไม่ และใครบ้างที่จะร่วมทำสัตยาบัน

...

สัตยาบันที่ถูกต้อง จะต้องมีทุกฝ่ายร่วมกันทำ ไม่ใช่ให้พรรคการเมืองทำสัตยาบันฝ่ายเดียว แต่แม่น้ำทั้ง 5 สาย โดยเฉพาะ คสช. และ สนช. ต้องร่วมทำสัตยาบันด้วย โดยสัญญาว่าจะเป็นการเลื่อนเลือกตั้งครั้งสุดท้าย และฝ่ายที่ละเมิดสัตยาบันจะต้องได้รับโทษ ตามแต่จะตกลงกัน ไม่ใช่ทำแบบ “สัญญาประชาคม” ที่ คสช.เขียนเองประกาศใช้เอง แต่บังคับใช้กับประชาชน

สัญญาประชาคมในสังคมประชาธิปไตย จะต้องมาจากความยินยอมของประชาชนผู้เป็นอิสระทุกคน เพื่อร่วมกันจัดระเบียบสังคม เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย โดยอาจมอบให้ใคร หรือคณะใดเป็นผู้ปฏิบัติ และผู้ปฏิบัติให้เกิดความสงบเรียบร้อย ก็ต้องร่วมเป็นคู่สัญญา หากผู้ปฏิบัติเบี้ยวสัญญา เช่น ข่มเหงรังแก หรือปิดปากประชาชน จะถูกลงโทษด้วยการถอดถอน.