เอ่ยคำ “รำวง” วันนี้ มีความหมายไปไกล
คำรำวง...ความหมายเดิม อาจารย์ ส.พลายน้อย อธิบายไว้ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทย (สำนักพิมพ์พิมพ์คำ พ.ศ.2553) ว่า การละเล่นพื้นเมืองอย่างหนึ่ง หญิงรำคู่กับชาย ตามจังหวะเสียงกลอง
ในหนังสือ ประวัติจังหวัดขอนแก่น พิมพ์ปี 2497 บอกว่า รำวงมาจากการละเล่นพื้นเมืองอีสานที่นิยมกันมากตอนนั้น คือรำโทน และรำเตี้ยบ้านโนนทัน
ต่อมาที่จังหวัดนครราชสีมา ราวๆปี 2481-2482 มีผู้คิดดัดแปลงรำโทน เป็นรำวง
ผู้ต้นคิดไม่ระบุชื่อ บอกเพียงเป็นศึกษาธิการจังหวัด การรำวงครั้งแรกๆนั้น ยังรำกันตามสบาย ไม่มีแบบแผน ยกมือขึ้นๆ ลงๆไปตามเรื่อง
เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นยกพลบุกประเทศไทย 8 ธ.ค.2484 ไทยประกาศสงครามกับพันธมิตร กรุงเทพฯถูกทิ้งระเบิด ผู้คนอพยพหลบภัยไปอยู่ชานเมืองและชนบท
ผู้คนในชนบท ชวนกันเล่นรำวงคลายเครียด อย่างที่ตำบล บางพึ่ง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ รำวงกันทุกคืน
รัฐบาลท่านผู้นำ จอมพล ป.พิบูลสงคราม กำลังรณรงค์ส่งเสริม วัฒนธรรมไทย เห็นว่าการรำวงเป็นที่นิยมแพร่หลาย แต่ยังไม่เป็นศิลปะ จึงสั่งให้กรมศิลปากรคิดท่ารำเป็นแบบแผน เมื่อปี 2487
เสวกโท จมื่นมานิตยนเรศ (เฉลิม เศวตนันทน์) อดีตหัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร เขียนเล่าไว้ตอนหนึ่ง
“งานสำคัญในยุคนั้น คืองานวันแม่ จัดขึ้นทุกจังหวัด กองการสังคีตเป็นตัวงานสำคัญ”
งานหนึ่งที่ได้นำมาทำ คือการนำรำโทน จากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มาปรับปรุงให้เป็นรำวง จากที่เคยรำกันไปตามเรื่องตามราว มาเป็นท่ารำประกอบเป็นมาตรฐาน
เช่น ท่ารำสอดสร้อยมาลา ชักแป้งผัดหน้า รำส่าย ฯลฯ
ได้ท่ารำแล้ว ก็ต้องแต่งเพลงประกอบ คุณมนตรี ตราโมช ได้ร่วมแต่งทำนองเพลง
...
ใช้กันแพร่หลายจนมาถึงบัดนี้
เด็กรุ่นผม คุ้นหูกับเพลง “ใกล้เข้ามาอีกนิด ชิดเข้ามาอีกหน่อย สวรรค์น้อยๆ อยู่ในวงฟ้อนรำ”
ราวๆปี 2506–2507 สมัยนั้นรถไฟสายใต้ ยังต้องต่อสองช่วง แวะนอนที่ชุมพร ที่สุราษฎร์หนึ่งคืน เช้าขึ้นรถไฟไปต่อ ถนนหลวง มีถนนเพชรเกษมสายเดียว
บาร์ คลับยังไม่มี ที่ภูเก็ต ที่ยะลา มีเวทีรำวงสอง-สามแห่ง เพลงละ 2 บาท เวทีที่มีนางรำสวยๆ หนุ่มๆก็แย่งกันจองคิว มีเรื่องชกต่อย กันบ่อยๆ
มาถึงวันนี้ รำวงเวทีไม่เป็นที่นิยม จะได้รำกันแต่ละที ก็ต่อเมื่อมีงานเป็นทางการ
และความหมาย...รำวงก็เปลี่ยนไปไกล งานโครงการ หรือ ปัญหาการเมือง ที่มีแรงต่อต้าน...ดูจะยุ่งยากมากนัก ผู้มีอำนาจ ท่านก็มักจะโยนให้เป็นเรื่องของคณะกรรมการ ประชุมกันไป พิจารณากันไป
เหมือน...กติกาเลือกตั้งตอนนี้ ที่กำลังมีเรื่องเถียง ให้มีบัตรเลือกตั้งใบเดียว ให้มีการจับเบอร์ผู้สมัครรายเขต ฝ่ายเขียนกติกาว่า แยกเบอร์เพื่อแก้ปัญหา ส.ส.ซื้อเสียง แต่นักการเมืองค้านว่าทำให้ประชาชนสับสน
เรื่องราวทำนองนี้แหละครับ...ที่มีการใช้คำว่า “รำวง”
หาเรื่องให้รำๆกันไป วนๆกันไป เถียงกันจนลืมคิดไปว่า การเลือกตั้ง อาจยืดเยื้อไปยาว...อีกหลายปี
หากจะว่ากันจริงๆ การที่ทหารเขาร้องเพลง ขอเวลา...ก็ไม่อึดอัดขัดข้อง เหมือนสมัยสงครามเอเชียมหาบูรพา...ต้องอพยพหนีระเบิดไปชนบท
การกลั้นใจฟังเสียงระเบิด...ปึงปัง จากฟากการเมืองตรงข้าม บ้าง นานๆครั้ง...ไม่ถึงกับหนักหนา คนไทย ยังร้องเพลง “สวรรค์น้อยๆ อยู่ในวงฟ้อนรำ” กับทหารต่อไปได้สบายๆ.
กิเลน ประลองเชิง