ห่วงนโยบายประชานิยม เกทับ บลัฟแหลก นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกโรงเตือน กกต.วางเกณฑ์การทำนโยบายของบรรดาพรรคการเมืองในช่วงที่กำลังเดินเข้าสมรภูมิเลือกตั้งเต็มรูปแบบโดยชี้ให้เห็นว่าพรรคการเมืองมักใช้นโยบายแนวนี้เสนอผลประโยชน์ยิงตรงถึงโหวตเตอร์ การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาถึงเกิดรูปแบบ อาทิ พรรคนี้เสนอให้ผู้สูงอายุ 600 บาทต่อเดือน อีกฝ่ายเสนอเพิ่มเป็น 1-3 พันบาท โดยไม่คำนึงถึงพื้นฐานความเป็นจริงในการจัดสรรงบประมาณลงไป การเสนอลักษณะนี้หลายต่อหลายครั้ง......เสี่ยงเกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยฉะนั้น กกต.ต้องตรวจสอบนโยบายประชานิยมตามหลักกฎหมายให้ชัดเจนว่า ใช้เงินเท่าไหร่ มีแหล่งที่มาของเงินจากไหน ก่อให้เกิดผลดีหรือผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไรไม่เช่นนั้นพรรคการเมืองก็รณรงค์หาเสียงแบบอิสระ โดยไม่รับผิดชอบใดๆจบศึกเลือกตั้งเป็นรัฐบาล ระบุไม่มีเงินทำไม่ได้ เท่ากับโกหกประชาชน หรือบางครั้งเมื่อเป็นรัฐบาลแล้วก็พยายามหาที่มาของงบประมาณโดยไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทั้งสั่งทบทวนงบประมาณใหม่ หวังเหลืองบประมาณก้อนใหญ่ สุดท้ายทุกส่วนราชการตัดไม่ได้แม้แต่รายการเดียว ก็คิดหาวิธีกู้มาแจก ไม่ได้กู้มาลงทุน ไปก่อหนี้สาธารณะ ผิดวินัยการเงินการคลัง ขอให้ธนาคารรัฐออกไปก่อนก็ไม่ได้อีก สุดท้ายพายุเศรษฐกิจไม่หมุนการบังคับให้ทำดังกล่าว กกต.ทำเป็นพิธี พรรคการเมืองส่งมา 20 วันก่อนวันเลือกตั้ง เพื่อให้ กกต.ตรวจสอบว่าเป็นนโยบายประชานิยมหรือไม่ ก่อนชี้ว่านโยบายนี้หาเสียงไม่ได้บรรดาพรรคการเมืองก็กั๊ก รอ 20 วันค่อยส่ง เวลาไม่พอตรวจสอบ สุดท้ายทำได้เพียงลงทะเบียนรับเรื่องจบ ไม่มีการทักท้วงใดๆ ก็หาเสียงภายใต้บรรยากาศเกทับ บลัฟแหลกอยู่ดีหลักการแบบนี้ไร้สาระ ที่เปิดให้พรรคการเมืองหาเสียงได้เต็มที่ก่อน กกต.ตรวจสอบ กกต.ต้องตรวจสอบก่อน พรรคการเมืองถึงนำไปหาเสียงได้โดย กกต.ต้องออกคำสั่งก่อนหาเสียงให้ส่งมา กกต.จะตรวจสอบภายใน 3 วัน หากพ้น 3 วันไม่ทักท้วง นโยบายนั้นนำไปรณรงค์หาเสียงได้ระหว่างนักการเมืองซื้อเสียงกับนโยบายประชานิยม แบบไหนทำร้ายประเทศชาติมากกว่ากัน นายสมชัย ที่เคยเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี บอกว่า เงินซื้อเสียงเป็นเงินส่วนตัว หรือเป็นเงินสีเทาประชาชนรับแล้วเลือกหรือไม่เลือกเป็นเรื่องของประชาชน อาจรับเงินหลายพรรค สุดท้ายตัดสินใจไปเลือกอีกพรรค จึงเห็นว่าการซื้อเสียงไม่อันตรายมากมายเท่ากับนโยบายประชานิยมนโยบายประชานิยมใช้เงินหลวงเพื่อซื้อเสียงเงินหลวงเป็นเงินภาษีของประชาชน นำมาทำในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น แทนที่นำเงินหลายแสนล้านบาทไปสร้างโรงพยาบาล โรงเรียน ก็นำมาละลายให้ได้มาซึ่งคำสัญญาที่รณรงค์หาเสียงเอาไว้การเลือกตั้งคราวนี้คาดใช้เงินซื้อเสียงสูงสุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่มี กกต.มาใหม่ต้องเข้ามาทำตามอำนาจและหน้าที่ นายสมชัย บอกว่า ไม่ต้องห่วง กกต.ที่มาใหม่ กกต.มาใหม่ทุกครั้งที่มีเลือกตั้ง รวมถึงชุดที่ผมเคยเป็น กกต.ด้วย ถึงอย่างไร กกต.ต้องทำได้ครั้งนี้มีความยากตรงที่ไม่ได้แข่งขันกันเต็มที่อย่างเดียว แต่เป็นการแข่งขันชิงอำนาจรัฐที่อยู่ในสถานการณ์หลายต่อหลายเรื่อง ที่รบกวนจิตใจคนเลือกตั้ง เลือกตั้งครั้งนี้อยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติ มีเรื่องที่ต้องคิดมากกว่าปกติ จึงน่าเป็นห่วงเช่น น้ำท่วมจังหวัดในภาคใต้ จิตใจคนจะเลือกตั้งหรือไม่ เขาต้องเอาตัวรอดก่อน ต้องการฟื้นฟู หาวิธีการทำให้ทุกอย่างในชีวิตเป็นปกติ ตรงนี้เป็นโจทย์ใหญ่ หรือทางชายแดนมีสงครามยิงกันทุกวัน จะเลือกกันอย่างไร จิตใจคนไม่สงบ มันมีสงครามจะยังเลือกตั้งอีกหรือไม่ รวมถึงการทำประชามติที่ไปใส่เพิ่มเติมเข้ามาอีกจริงๆแล้วมันน่าจะทำให้ดีขึ้นได้ แต่ไม่คิดที่จะทำ เช่น บัตรเลือกตั้ง สส.เขต บัตรเลือกตั้ง สส.บัญชีรายชื่อคนละเบอร์ ทำให้คนสับสน ก็ไม่มีการแก้ไขทำให้โจทย์การเลือกตั้งครั้งนี้ยากกว่าเดิมเท่ากับประชาชนได้รับบัตร 3 ใบ ทั้งบัตรเลือก สส.เขต บัตรเลือก สส.บัญชีรายชื่อ และบัตรทำประชามติ ตรงนี้สร้างความสับสนต่อประชาชนอย่างไร นายสมชัย บอกว่า เป็นภาระต่อประชาชนเพิ่มขึ้นแม้ถือเป็นความจำเป็นของสถานการณ์ และอยากทำประชามติก็ทำได้ แต่อยากฝาก กกต. ถ้ามีการออกเสียงประชามติพร้อมเลือกตั้ง ต้องออกแบบการออกเสียงประชามติที่ไม่เป็นภาระต่อประชาชน หรือเป็นน้อยที่สุดโดยไม่อยากให้เกิดภาพแบบนี้ เมื่อประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งและออกเสียงประชามติ ต้องมี 2 เต็นท์ มีกรรมการ 2 ชุด มีจุดตรวจสอบบัญชีรายชื่อ 2 จุด เท่ากับเลือกตั้งเสร็จต้องมาต่อคิวอีกรอบ เพื่อรับบัตรประชามติ ผมอยากให้ไปถึงปั๊บ ตรวจสอบที่เดียวรับบัตร 3 ใบ ไปกาในคูหา 3 ใบเสร็จก็ออกมาหย่อนในหีบ 3 ใบหรือกรณีครั้งนี้ทำประชามติไม่ทัน ก็ต้องไปทำครั้งต่อไป กฎหมายประชามติเปิดช่องให้ทำทางอิเล็กทรอนิกส์ โหวตผ่านโทรศัพท์มือถือ โหวตทางอินเตอร์เน็ต ผ่านเครื่องลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านไปรษณีย์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับ กกต. ฝากให้คิดทำพวกนี้ ที่ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณน้อยลง สะดวกต่อประชาชนทั้งหมดที่เสนอมันมีจุดเริ่มต้นจาก ครม.มีมติให้ทำประชามติ โดยระบุว่าช่วยประหยัดงบประมาณ 4 พันล้านบาท ประโยคนี้ขัดหูมาก เพราะเป็นการพูดโกหก ตกคณิตศาสตร์ ป. 1เพราะทำประชามติพร้อมเลือกตั้งประหยัดกว่าก็จริง แต่ต้องเพิ่มงบอีกเท่าไหร่ สุดท้ายต้องทำประชามติครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 อีก ถ้าทำครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 พร้อมกัน เท่ากับทำประชามติแค่ 2 ครั้ง ประหยัด 3 พันล้านบาท แต่การทำ 3 ครั้งเปลืองขึ้น 3 พันล้านบาท ไม่ใช่ประหยัด 4 พันล้านบาทยิ่งเวลาที่เหลือน้อยลงเรื่อยๆในการทำประชามติ ถึงวันนี้ยังไม่ประกาศวันออกเสียงประชามติ ถ้าไปประกาศหลังปีใหม่เท่ากับเวลาอาจเหลือไม่ถึง 40 วันทำประชามติในเวลาจำกัดมันวุ่นวายทุกฝ่ายกกต.ก็วุ่น ประชาชนไม่มีโอกาสถกเถียงกันอย่างเต็มที่ สุดท้ายทำประชามติที่ไม่มีคุณภาพ แล้วทำไปทำไม แทนที่ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง ต้องมาเสียสมาธิกับทำประชามติ ขึ้นอยู่ที่รัฐบาลตัดสินใจ หากคิดทบทวนก็ทำได้สถานการณ์ไม่ปกติ โดยเฉพาะปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ถ้ายังปิดจบไม่ได้ อาจเปิดให้มีการเลื่อนวันเลือกตั้งทั่วราชอาณาจักร นายสมชัย บอกว่า สงครามไม่น่ายืดเยื้อเกินปีใหม่ น่าจบก่อนปีใหม่แต่ถ้าไม่จบกลายเป็นเวิร์ตเคสขึ้นมา เลวร้ายสุดไม่จบ จัดการเลือกตั้งในท้องที่ไม่ได้ กกต.มี 2 ทางเลือก อาจสั่งงดออกเสียง เลื่อนเลือกตั้งออกไปจนกว่าสถานการณ์สงบ ทำได้ตามกฎหมายที่เขียนหลังจากเหตุการณ์ปี 57 ให้อำนาจของ กกต. ทั้งระดับท้องถิ่นและระดับกลางสั่งให้เลื่อนเลือกตั้งได้หรือถ้าเป็นเพียงบางพื้นที่ บางตำบล บางหมู่บ้าน กกต.เขตสั่งเลื่อนได้เฉพาะในเขตในพื้นที่นั้น แต่ต้องรายงาน กกต.กลาง ถ้าเป็นภาพใหญ่กระทบทั้งประเทศ กกต.กลางประชุมใช้มติ 2 ใน 3 ให้เลื่อนทั้งประเทศได้ส่วนอีกแนวทาง ถ้า กกต.ขยัน ถ้าจัดเลือกตั้งในพื้นที่ไม่ได้ ตามที่นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ระบุ ถ้าคนไปหน่วยเลือกตั้งไม่ได้ ก็ให้หน่วยเลือกตั้งไปหาคน ถ้าทำได้ทั้ง 2 แบบถือเป็นผลงานของ กกต.ตามกฎหมาย กกต.เลื่อนเลือกตั้งได้ตามจังหวะสถานการณ์นายสมชัย บอกว่า ถ้าเลื่อนทั้งประเทศ กกต.ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 30 วันหลังเหตุการณ์สงบ ตรงนี้เลื่อนยาวแค่ไหนก็ได้ ไม่มีกรอบเวลาอาจเลื่อนเลือกตั้งยาวจนกว่าสงครามสงบได้คิดว่าคงไม่ได้เป็นภาพที่เลวร้ายขนาดนั้นภาวนาคงไม่เกิดสงครามทั้งปีจนประเทศไม่สงบ.ทีมการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม