ปัจจุบันคนไทยมีเงินออมน้อยมากจนน่าตกใจ ข้อมูลล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 10 พ.ย.2568 พบว่า มีบัญชีเงินฝากกว่า 128.52 ล้านบัญชีที่มีเงินฝากน้อยกว่า 50,000 บาท มีเงินฝากรวม 465,222 ล้านบาท คิดเป็น 24.69% ของจีดีพี ขณะที่หนี้ครัวเรือนกลับสูงถึง 86.8% ของจีดีพี เป็นเงินกว่า 16.31 ล้านล้านบาท การเพิ่มการออมจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น 1 ใน 5 เสาหลักของนโยบาย Quick Big Win ที่ทีมเศรษฐกิจข้าวนอกนาของ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง จัดทำขึ้นมากระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ส่งผลในระยะยาว และกระจายในวงกว้าง จึงมีมาตรการ “เพิ่มการออมของประชาชน” รวมอยู่ด้วยดร.เอกนิติ ให้สัมภาษณ์ “วารสารการเงินธนาคาร” ฉบับล่าสุดถึง รายละเอียดมาตรการเพิ่มการออมเงินของประชาชน ผมเลยขอนำมาแชร์สู่กันฟัง เป็นนโยบายที่ ดร.เอกนิติ ตั้งใจจะทำให้เสร็จภายใน 4 เดือนที่เป็นรัฐบาล เพื่อส่งผลในระยะยาวมาตรการแรก ส่งเสริมการออมของประชาชนรายย่อยผ่านสลากกินแบ่งรัฐบาล คนไทยชอบซื้อหวยเป็นที่รู้กัน มาตรการนี้ ดร.เอกนิติ อธิบายว่า ประชาชนที่ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่ไม่ถูกรางวัล เงินซื้อสลากจะไม่ได้คืน แต่มาตรการนี้ รัฐบาลจะแบ่งเงินค่าซื้อสลากที่ไม่ถูกรางวัลคืนเป็นเงินออม ถือเป็น “การออมภาคบังคับ” โดย รัฐบาลจะนำเงินรายได้จากค่าบริหารจัดการออกสลากประมาณ 17% มาแบ่งให้ผู้ซื้อสลากที่ไม่ถูกรางวัล โดยต้องเก็บออมไว้จนกว่าจะมีอายุครบ 55 ปี จึงจะถอนเงินก้อนนี้ออกมาใช้ได้ คล้ายกองทุน RMF เงินที่ออมจากสลากจะถูกนำไปลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้ และยังสามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันสำหรับการกู้เงินในยามฉุกเฉินได้ด้วยรัฐบาลออกสลากกินแบ่งงวดละ 100 ล้านใบ เดือนละ 2 งวด ก็เป็นสลาก 200 ล้านใบ ขายใบละ 80 บาท ก็เป็นเงินเดือนละ 16,000 ล้านบาท ปีละ 192,000 ล้านบาท ค่าบริหารจัดการ 17% เป็นเงิน 32,640 ล้านบาท ถ้ากระทรวงการคลังใจดีแบ่งให้ผู้ซื้อเป็นเงินออมสัก 5% ก็เป็นเงินออมปีละ 1,632 ล้านบาท ไม่น้อยเลยนะครับ เป็นไอเดียการคิดบวกที่ดีมากมาตรการที่สอง เป็นการเพิ่มรายได้ให้ผู้ออมเงิน โดยกระทรวงการคลังจะออก “พันธบัตรออมทรัพย์เพื่อการลงทุน (Saving Bond)” ทุกเดือน เพื่อเป็นทางเลือกในการออมของประชาชน โดยให้ซื้อผ่านวอลเล็ตและแอปเป๋าตัง หรือซื้อผ่าน 6 ธนาคารตัวแทนจำหน่าย ธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ กรุงศรีอยุธยา และซีไอเอ็มบีไทย พันธบัตรออมทรัพย์ จะให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากธนาคาร จะซื้อ 100 บาทพันบาทก็ได้ คลังตั้งเป้าจะออกพันธบัตรออมทรัพย์ทุกเดือน 1,000-2,000 ล้านบาทต่อเดือน เพื่อเป็นทางเลือกการออมที่มั่นคงฟังแล้วก็ชื่นชมไอเดีย ท่านรัฐมนตรีคลัง ที่ “คิดบวก” ทุกมาตรการ ถ้า “นักการเมือง” ที่เป็นรัฐมนตรี ทุกคน “คิดบวก” แบบนี้ ประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองไปนานแล้ว นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยขาดแคลนอย่างมาก “นักการเมืองที่ดี” ที่ “คิดบวกประชาชน” ไม่ใช่เพื่อตัวเองอีกมาตรการที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ การช่วย “นักลงทุนรายย่อย” ให้ “ออมเงินผ่านหุ้น” ที่ ดร.เอกนิติ กำลังพูดคุยกับ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อจัดตั้ง Thailand Individual Saving Account (TISA) เพื่อเป็นทางเลือกในการออมเงินของประชาชน แก้ปัญหาการออมเงินในกองทุนลดหย่อนภาษีต่างๆแล้วขาดทุน รัฐบาลก็เสียรายได้จากการลดหย่อนภาษีด้วย มาตรการนี้จะเปิดทางให้นักลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหุ้นไทยโดยตรงแล้วนำเงินซื้อหุ้นมาหักลดหย่อนภาษีได้ตามวงเงินและจำนวน ลดหย่อนที่กำหนด โดยไม่ต้องลงทุนผ่านกองทุนลดหย่อนภาษีอีกต่อไปมาตรการออมเงินผ่าน TISA ญี่ปุ่นทำได้ผลมาแล้ว ตลาดหุ้นญี่ปุ่นฟื้นทันทีก็เป็น มาตรการเพิ่มเงินออมให้ประชาชนมีกินมีใช้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผมได้แต่ภาวนาขอให้ทำให้สำเร็จก่อนยุบสภา พวกนักการเมืองไทยมักเห็นประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประชาชนเสมอ ครั้งนี้ “รัฐมนตรีข้าวนอกนา” คิดเพื่อชาติและประชาชนจริงๆ.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม