“อนุทิน” โทร.คุย “ทรัมป์-อันวาร์” ปมชายแดนไทย-กัมพูชา ยันทุ่นระเบิดใหม่ แจงชัดหยุดปฏิญญาที่ทำต่อกัน พร้อมขอผู้นำ “สหรัฐฯ-มาเลย์” ช่วยกดดันกัมพูชาเคารพปฏิญญา ไม่ขัดขวางไทยในการเก็บกู้ระเบิด ขณะที่ ปธน. สหรัฐฯแบไต๋ ส่อใช้มาตรการภาษีการค้ากดดันไทย หลังผู้แทนการค้าสหรัฐฯแจ้งระงับเจรจากรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทย-สหรัฐฯ ชั่วคราว จนกว่าไทยให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมที่มาเลเซีย โฆษก รบ.สวนกลับทันที ย้ำจุดยืนไทยแยกประเด็นความมั่นคง-การค้า ออกจากกัน ยืนยันว่าการเจรจาภาษีจะยังเดินหน้าเจรจาต่อ แยกออกจากเรื่องชายแดนความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ใน 7 จังหวัด ยังตึงเครียดต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 12.50 น. วันที่ 15 พ.ย. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า คืนวันที่ 14 พ.ย. ได้รับโทรศัพท์จากนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งสองได้พูดคุยหารือกับตนเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา พร้อมทั้งขอให้รัฐบาลไทยยังคงดำรงเป้าหมายการสร้างสันติภาพตามแนวทางที่ได้ลงนามในปฏิญญาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ต่อไป ตนได้แสดงจุดยืนของรัฐบาลไทย พอสรุปใจความสำคัญได้ว่า ตนได้ขอบคุณทุกคำแนะนำและรับฟังความเห็นของผู้นำทั้งสองท่าน ในฐานะที่เป็นพยานในปฏิญญาดังกล่าว เพื่อนำมาพิจารณาร่วมกันกับข้อมูลที่หน่วยงานความมั่นคงของไทยมีอยู่ ในการไปกำหนดแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติมจากการเกิดเหตุการณ์ที่ฝ่ายกัมพูชาไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดและละเมิดเงื่อนไขที่ระบุไว้ในปฏิญญานายอนุทินระบุว่า ได้แจ้งให้ทั้งสองท่านทราบว่า ผู้ร่วมสังเกตการณ์จากหลายประเทศได้เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ได้ยืนยันว่าทุ่นระเบิดทั้งสี่ทุ่น เป็นทุ่นระเบิดใหม่ที่มีการลักลอบเข้ามาวางในเขตพื้นที่ของไทย หลังจากที่ไทยและกัมพูชาลงนามในปฏิญญาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ยืนยันว่ารัฐบาลไทยจะระงับการดำเนินการภายใต้เนื้อหาที่ระบุไว้ในปฏิญญาจนกว่ากัมพูชาจะยอมรับว่าตนมิได้ปฏิบัติตามและได้ละเมิดเงื่อนไขดังกล่าว และต้องมีคำแถลงขอโทษต่อประชาชนชาวไทยในกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ภูมะเขือ ซึ่งทำให้ทหารของไทยได้รับบาดเจ็บและสูญเสียอวัยวะ และได้ย้ำว่ารัฐบาลไทยทรงไว้ซึ่งสิทธิและมีอำนาจที่จะดำเนินการ ใดๆเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ และสร้างความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่พึงจะกระทำ เพื่อให้พ้นจากภัยคุกคามของต่างชาติ และเรียกร้องให้ผู้นำของทั้งสองประเทศในฐานะสักขีพยาน ให้แจ้งไปยังนายกฯกัมพูชาให้เคารพและปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด และมีความจริงใจต่อประเทศทั้งสี่ที่ได้ร่วมกันลงนามในปฏิญญาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และได้ขอให้ผู้นำทั้งสองเน้นย้ำต่อผู้นำรัฐบาลกัมพูชาว่า จะต้องไม่มีการขัดขวางใดๆ ต่อการเข้าไปเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ฝ่ายกองทัพไทยเป็นผู้ดำเนินการนายอนุทินระบุอีกว่า ได้แจ้งต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายกฯมาเลเซียว่า การที่กัมพูชาไม่เคารพต่อปฏิญญาและไม่ยอมรับผิดต่อเหตุการณ์ที่ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ จะทำให้ประชาชนชาวไทยหมดความมั่นใจและความเชื่อถือต่อรัฐบาลกัมพูชา จะยังผลให้การดำเนินการที่จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพมีความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง ยืนยันว่ารัฐบาลไทยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทุกชาติ เพื่อเสริมสร้างสันติภาพในภูมิภาคอาเซียน แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยไม่ต้องการที่จะมีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อไปกับเพื่อนบ้านที่ไม่มีความจริงใจและคอยคุกคามอธิปไตยของไทยอยู่ตลอดเวลา และเน้นย้ำว่ารัฐบาลไทยไม่เคยมีเจตนารุกรานกัมพูชา แต่มีความพร้อมที่จะตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตยและเกียรติภูมิของชาติ เพื่อสร้างความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยในทุกวิถีทางนายกฯระบุด้วยว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ถามเรื่องการเจรจาทางการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯมีปัญหาอะไรหรือไม่ ตนตอบไปว่าอยากจะขอให้ท่านได้ลดอัตราภาษีให้กับประเทศไทยมากกว่านี้ ซึ่ง ปธ.สหรัฐฯ ตอบมาอย่างอารมณ์ดีว่าอัตรา 19 เปอร์เซ็นต์ ที่ไทยได้รับถือว่าต่ำมาก และจะไปคุยกับกัมพูชา หากกัมพูชาไม่ขัดขวางการถอนทุ่น ระเบิดของไทย แล้วฝ่ายไทยสามารถเร่งถอนทุ่นระเบิดได้อย่างรวดเร็ว ประธานาธิบดีสหรัฐฯจะพิจารณาให้มีการปรับลดภาษีให้มากกว่านี้ โดยท่านพูดกลับมาในทำนองว่า “If you do the demining works quickly, I’ll consider chopping more percentage for you.” ขณะที่นายกฯ มาเลเซียบอกว่าจะเร่งทำเอกสารในนามประธานอาเซียน เพื่อย้ำความเข้าใจและให้ทั้งสองประเทศดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในปฏิญญาอย่างเคร่งครัดต่อไปเวลาต่อมา นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์จีบี นิวส์ของอังกฤษว่า ได้พูดคุยกับนายกฯของทั้งสองประเทศแล้ว เชื่อว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี และคิดว่าตนได้ช่วยยุติความขัดแย้งแล้วในวันนี้ ขณะที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย โพสต์บนเอ็กซ์ว่า ได้พูดคุยกับทรัมป์และยืนยันว่าไทยและกัมพูชาได้ถอนกำลังทหารออกจากชายแดนตามกรอบข้อตกลงสันติภาพที่ลงนามในกรุงกัวลา ลัมเปอร์ พร้อมแสดงความยินดีกับบทบาทของทรัมป์ในการช่วยคลี่คลายสถานการณ์ เพื่อรักษาเสถียรภาพและความสามัคคีในภูมิภาคอย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 15.00 น. นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงที่กระทรวงการต่างประเทศ ถึงการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อคืนวันที่ 14 พ.ย. ซึ่งนอกจากเป็นการแจ้งข้อมูลให้อีกฝ่ายรับทราบแล้ว ยังมีประเด็นที่ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์อย่างหนัก คือการเจรจาภาษีการค้าที่กลายมาเป็นข้อต่อรองของสหรัฐฯ ต่อการเจรจาสันติภาพระหว่างไทยกับกัมพูชาว่า เมื่อคืนวันที่ 14 พ.ย. ไทยได้รับแจ้งจากรองผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ว่าสหรัฐฯขอระงับเจรจากรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทย-สหรัฐฯ เป็นการชั่วคราว และจะกลับมาเจรจาความตกลงดังกล่าวได้อีกครั้ง เมื่อฝ่ายไทยให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วม และหวังว่าจะหาทางออกในเรื่องนี้ได้โดยเร็ว เรื่องนี้ไทยมีความผิดหวังในท่าทีจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ไทยยืนยันมาโดยตลอดว่าประเด็นทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชาต้องพิจารณาแยกออกจากประเด็นการค้า ซึ่งนายกฯได้แจ้ง ปธน.ทรัมป์ถึงท่าทีไทย เป็นท่าทีที่ยึดถือมาตลอดว่าแยกปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ออกจากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ จึงประสงค์ให้สหรัฐฯแยก 2 เรื่องนี้ออกจากกัน เราแสดงความมุ่งมั่นเจรจาเอฟทีเอต่อกับสหรัฐฯ และใช้กลไกทวิภาคีกับกัมพูชาต่อไป เรามีเงื่อนไข 3 ข้อ ขณะนี้บอลอยู่ในคอร์ตของกัมพูชา ประธานาธิบดีทรัมป์ก็แสดงความเข้าอกเข้าใจในสิ่งที่จะดำเนินการต่อไปนายนิกรเดชกล่าวอีกว่า นายกฯได้สื่อสารไปยัง รมว.พาณิชย์ และ รมว.คลัง ว่าท่าทีไทยสม่ำเสมอคือให้แยก 2 เรื่องนี้ออกจากกัน ขออย่าให้ใช้มาตรการภาษีมากดดัน คิดว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีท่าทีที่เข้าใจไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยจะดำเนินการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯต่อไป กระทรวงการต่างประเทศหวังว่าการพูดคุยระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และนายกรัฐมนตรีอันวาร์จะช่วยกดดันให้กัมพูชาเข้าใจในเงื่อนไขต่างๆ เพราะทางออกมันมีต่อมาเวลา 16.10 น. นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาแถลงถึงเรื่องนี้เช่นกัน โดยระบุว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯสอบถามสถานการณ์ล่าสุดที่ชายแดน นายกฯได้ใช้โอกาสนี้อัปเดตข้อมูลและย้ำว่าทั้งสองประเทศต้องปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วมเพื่อก้าวสู่สันติภาพ โดยนายกฯ ย้ำว่าไทยยึดมั่นในสันติภาพ แต่กัมพูชาต้องยอมรับข้อเท็จจริง แสดงความรับผิดชอบ และมีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักษณะนี้อีก สำคัญที่สุดคือกัมพูชาต้องเปิดพื้นที่ 13 จุด ตามที่เคยหารือกันเพื่อให้ไทยเข้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดได้อย่างปลอดภัย ประธานาธิบดีสหรัฐฯรับฟังด้วยความเข้าใจ ย้ำว่าสหรัฐฯและมาเลเซียพร้อมสนับสนุนเพื่อให้กระบวนการสันติภาพเดินหน้าต่อ แต่ไม่ประสงค์แทรกแซงกลไกทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นจุดยืนสำคัญของไทยนายสิริพงศ์กล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานว่า ไทยได้รับแจ้งจากรองผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เมื่อคืนวันที่ 14 พ.ย.ว่า ฝ่ายสหรัฐฯขอระงับชั่วคราวการเจรจากรอบความตกลงภาษีต่างตอบแทนไทย-สหรัฐฯ โดยจะกลับมาหารือได้อีกครั้งเมื่อไทยให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตาม Joint Declaration อย่างเคร่งครัดนั้น ประเด็นนี้เกิดขึ้นก่อนที่นายกฯจะได้พูดคุยกับประธานาธิบดีทรัมป์ ส่วนแนวทางในเรื่องนี้ขอยืนยันว่าการเจรจาภาษีจะยังเดินหน้าเจรจาต่อไป แยกออกจากเรื่องชายแดน รัฐบาลยินดีที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯรับฟังด้วยความเข้าใจ และหวังว่าท่าทีของ สหรัฐฯในประเด็นการค้าและภาษีสามารถหารือและเจรจาต่อไปได้โดยไม่กระทบต่อกรอบความร่วมมือสำคัญในด้านอื่นๆ ที่ทั้ง 2 ประเทศมีมาอย่างแน่นแฟ้นและยาวนาน สำหรับบรรยากาศที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว หลังจากเมื่อวันที่ 14 พ.ย. คณะ AOT ฝ่ายไทยเดินทางมาตรวจสอบจุดปฏิบัติการแนวชายแดน ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อฝ่ายกัมพูชาอ้างพลเรือนถูกฝ่ายไทยยิงได้รับบาดเจ็บ แต่ตลอดเช้าวันที่ 15 พ.ย. ภาพรวมเงียบสงบผิดปกติ กองกำลังบูรพายังตรึงกำลังเฝ้าระวังเข้มและใช้โดรนบินสำรวจพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าแม้สถานการณ์ทั่วไปจะดูสงบ แต่ยังไม่สามารถวางใจได้ เนื่องจากช่วงหลายวันที่ผ่านมาเกิดเหตุยิงปริศนามาแล้ว ประกอบกับข้อมูลจากการข่าวบางส่วนทำให้ต้องจับตาอย่างต่อเนื่องขณะที่บริเวณอนุสาวรีย์พระยาสุรินทรภักดีศรีณรงค์จางวาง อ.เมืองสุรินทร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 08.00 น. เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท.นำโดยนายพิชิต ไชยมงคล และกลุ่มคนสุรินทร์รักชาติ จัดกิจกรรมใส่รองเท้าผ้าใบไปปราสาทตาควาย พร้อมกับประกาศเจตนารมณ์ร่วมกับชาวสุรินทร์และจังหวัดใกล้เคียง เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในการทวงคืนปราสาทตาควาย ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กลับคืนมาเป็นของไทยให้ได้ โดยจะไม่ยอมเสียแผ่นดินแม้แต่ตารางนิ้วเดียวให้พวกเขมรโดยเด็ดขาด รวมทั้ง จะเป็นการทวงคืนปราสาทคนา ต.เเนงมุด อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ กลับคืนมาให้ได้ด้วย แต่ทหารไม่อนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่ปราสาทตาควาย และพื้นที่ชายแดนที่กำลังตึงเครียด จากนั้นทั้งหมดเดินทางต่อไปยังวัดเขาโต๊ะ ต.บักได อ.พนมดงรัก ซึ่งอยู่ใกล้กับปราสาทตาควายเพื่อทำกิจกรรมให้กำลังใจทหารแนวหน้าก่อนเดินทางกลับ กทม.อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่