ขอให้เป็นคำพูดจากใจ กรณีนาย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย กล่าวอย่างหนักแน่น ระหว่างพิธีลงนามเอ็มโอยู ว่าด้วยความร่วมมือป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่ทำเนียบรัฐบาล ทำนองว่าเรื่องนี้คือวาระแห่งชาติ ขณะมีอำนาจหน้าที่ภารกิจที่มีอยู่ไม่สำเร็จ คงจะตายตาไม่หลับขณะที่ทั่วโลกกำลังฮือฮา เมื่อสำนักข่าวรอยเตอร์ เปิดข้อมูลที่ได้มาจากเอกสารภายในบริษัท Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และวอตส์แอป สื่อสังคมออนไลน์ยอดนิยมของคนทั่วโลก เอกสารชี้ว่าบริษัทได้รายได้ราว 10% ของรายได้รวมปี 2024 หรือกว่า 16,000 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 590,000 ล้านบาทจากโฆษณาหลอกลวง และสินค้าผิดกฎหมาย ทั้งการรับพนันออนไลน์ ขายยาต้องห้าม หลอกให้ลงทุน ข้อมูลจากเอกสารชี้ว่า Meta อาจทราบพฤติกรรมต้องสงสัยของนักโฆษณาหลายรายอยู่แล้ว แต่เลือกเก็บค่าโฆษณาแพงขึ้นแทนการระงับบัญชี โดยให้เหตุผลว่าเป็นมาตรการลงโทษ เพื่อไม่ให้ผู้ต้องสงสัยซื้อโฆษณาเพิ่มมันยิ่งช่วยให้ Meta อู้ฟู่จากโฆษณาไปอีก Meta ยังประเมินด้วยว่าผู้ใช้ทั่วโลกต้องเจอกับโฆษณาหลอกลวง กว่า 15,000 ล้านชิ้นต่อวัน บริษัทอาจทำรายได้จากโฆษณาประเภทที่มีความเสี่ยงสูงราว 226,768 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งระบบอัลกอริทึมแพลตฟอร์มมีแนวโน้มแสดงโฆษณาหลอกซ้ำๆให้กับผู้ใช้ที่เคยคลิกมาก่อนอีกต่างหากเสี่ยงถูกหลอกซ้ำซาก หน่วยงานกำกับดูแลหลายประเทศกำลังตรวจสอบ Meta โดยสำนักงาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ (SEC) สอบสวนกรณีบริษัทเผยแพร่โฆษณาแชร์ลูกโซ่ และในสหราชอาณาจักร หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคเผยว่ากว่า 54% ของความเสียหายจากการหลอกลวงการชำระเงินในปี 2023 เกิดบนแพลตฟอร์มของ Metaขณะที่แอนดี สโตน โฆษกของ Meta โต้ว่า ตัวเลขในเอกสารเป็นการประเมินแบบกว้างเกินจริง ยืนยันว่าบริษัทได้ลงทุนเพิ่มในระบบตรวจจับการฉ้อโกงและรับมือกับพวกสแกมเมอร์ โดยในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ได้ลดจำนวนรายงานโฆษณาหลอกทั่วโลกลงได้ถึง 58% และลบเนื้อหาหลอกลวงกว่า 134 ล้านชิ้นในปี 2025ถือเป็นข้อมูลที่น่ากังวลยิ่ง จึงต้องกระตุ้นผู้มีอำนาจในรัฐบาลเฉพาะกิจชุดนี้ โดยเฉพาะนายกฯให้รู้เท่าทันข้อมูล และพลวัตรแห่งการหลอกลวงอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง รุดหน้ารวดเร็ว และอันตราย สร้างความเสียหายแก่คนทั้งโลก ตามรายงานกว่าปีละ 1.03 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 32 ล้านล้านบาท.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม