เสียงวิพากษ์วิจารณ์อึกทึกครึกโครม กับการลงนามบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU ระหว่างนายกรัฐมนตรีประเทศไทย และผู้นำสหรัฐอเมริกา ในเรื่องการขุดสำรวจแร่หายาก หรือ Rare Earth ในไทย ที่ถือ เป็นวาระแทรกระหว่างการลงนามประกาศสู่สันติภาพไทย–กัมพูชาในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่มาเลเซีย เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีการตั้งคำถามตามมา ทั้งการลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เป็นสัญญา สนธิสัญญาที่มีข้อผูกพันผูกมัดประเทศไทยหรือไม่ ความเหมาะสมของการลงนามในสถานการณ์การช่วงชิงภูมิรัฐศาสตร์โลกเข้มข้น และเรื่องแร่หายากกำลังเป็นประเด็นสำคัญที่อีกมหาอำนาจอย่างประเทศจีน ยกเป็นข้อต่อรองทางภาษีการค้ากับสหรัฐฯมีคำถามถึงการชั่งน้ำหนักได้– เสีย เมื่อเปิดเงื่อนไขให้สหรัฐฯเข้ามาทำประโยชน์เป็นประเทศแรกและมีผลต่อเนื่องทันที และเรื่องนี้มีการพิจารณารอบคอบรอบด้านหรือไม่ เช่น เรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะการทำเหมืองแร่นี้ หากไม่มีระบบการควบคุม มีรายงานความเสี่ยงอันตรายจากสารกัมมันตรังสีในกระบวนการผลิตและแปรรูปอยู่ด้วยเพราะเพิ่งมีกรณีตัวอย่างจากการ ทำเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน มีสารพิษ โลหะหนัก สารปนเปื้อนต่างๆข้ามแดนเข้ามากระทบแม่น้ำ แหล่งน้ำ สัตว์น้ำ อากาศ พื้นดินการเกษตร ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ความปลอดภัย สุขอนามัยของประชาชนในหลายจังหวัดทางภาคเหนือของไทยที่รัฐบาลยังแก้ไขไม่สำเร็จ อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ทางรัฐบาล ทั้งนายกฯ รัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ออกมาชี้แจงการลงนามเอ็มโอยู ได้ผ่านขั้นตอนพิจารณาของหน่วยงาน และที่ประชุม ครม. ดูรายละเอียดรอบคอบและยืนยันว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการ สำรวจขุดแร่หายาก ทั้งด้านเทคโนโลยี องค์ความรู้ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะได้รับรวมทั้งนายกฯไม่ปฏิเสธว่าการลงนามจะช่วยฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ อีกทางหนึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้บอกปัดเรื่องการเลือกข้างในเกมภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิเศรษฐศาสตร์ของมหาอำนาจ เพราะประเทศไทยเปิดกว้าง พร้อมร่วมมือเรื่องนี้กับมหาอำนาจและทุกประเทศทั้งหมดทั้งปวง เพราะมีกรณีเปรียบเทียบจากเอ็มโอยู 43–44 กับกัมพูชา รัฐบาลโยนให้ไปทำประชามติถามประชาชน ฉะนั้นการทำเอ็มโอยู ข้อตกลงเบื้องต้นใดๆ ที่มีผลกระทบต่อประเทศ เป็นวาระสำคัญที่ต้องเปิดกว้างการรับรู้เช่นกัน รัฐบาลต้องไม่งุบงิบรีบทำ รีบตัดสินใจ ผิดหลักบริหารบ้านเมืองยุคใหม่ที่ต้องโปร่งใสและมี ธรรมาภิบาล.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม