เมื่อวานนี้ ผมเขียนถึง “3 คนนอก” ที่จะเข้ามาร่วมรัฐบาล “อนุทิน 1” ว่าเหมือน “เพชรร่วงในสลัม” คือเป็นคนนอก หรือคนกลาง ที่ผลงานและประวัติการทำงานในหน้าที่ที่แต่ละท่าน รับผิดชอบได้อย่างยอดเยี่ยม เปรียบประดุจเพชรเม็ดงามของประเทศแต่จะต้องมาทำงานทางการเมืองกับบรรดานักการเมืองเขี้ยว ลากดินต่างๆใน ครม. “อนุทิน 1” ที่ผมขออนุญาตเปรียบเปรยว่า เหมือนมาอยู่ในสลัมนั้น จะไหวหรือไม่? ซึ่งผมก็เขียนให้กำลังใจต้อนรับไปแล้วรอบหนึ่งวันนี้ขออนุญาตเขียนต่อครับ โดยเจาะจงไปที่ท่าน ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เพชรทางเศรษฐกิจที่ฉายแววงดงามมาตลอดท่านหนึ่ง ในบรรดานักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่ด้วยกันผมยังเขียนเอาไว้ว่าผมฉงนใจด้วยซ้ำว่า เหตุใดท่านซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมธนารักษ์และมีอายุเพียง 54 ปีเท่านั้น ยังจะอยู่ในราชการอีกถึง 5-6 ปี จึงไม่รอไปเกษียณอายุราชการที่ตำแหน่งปลัดกระทรวง?แสดงว่าท่านมีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะออกมารับใช้ประเทศชาติในยามที่ต้องการขุนพลทางด้านเศรษฐกิจการคลังอย่างยิ่งยวด เพราะการทำหน้าที่รัฐมนตรีย่อมจะมีโอกาสช่วยแก้ปัญหาของชาติในวงกว้างได้มากกว่าการเป็นอธิบดีกรมธนารักษ์มีบางท่านให้ข้อมูลผมว่า เป็นไปได้ไหมว่าเพราะท่านน้อยเนื้อ ต่ำใจอะไรบางอย่างในกระทรวงการคลังในยุคที่พรรคเพื่อไทยดำรงตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล โดยเฉพาะในสมัยนายกฯแพทองธาร เมื่อเดือนกันยายนปีกลายนี่เอง ได้มีการโยกย้ายท่านเอกนิติจากอธิบดีกรมสรรพสามิตไปเป็นอธิบดีกรมธนารักษ์ซึ่งในทรรศนะของคนกระทรวงการคลังเขาถือกันว่าการย้ายอธิบดีจากกรมเก็บภาษีไปสู่กรมที่ไม่ใช่เก็บภาษีเป็นการลดเกรด เพราะเป็นการโยกให้ไกลจากตำแหน่งปลัดกระทรวงออกไปอีกไม่มีใครเชื่อว่านโยบายการโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงอย่างกระทรวงการคลังจะดำเนินการโดยท่านรัฐมนตรีว่าการเอง น่าจะเป็นนโยบายจาก “พรรค” เสียมากกว่าเมื่อโยงไปถึงนโยบายพรรคก็มีการโยงย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์เมื่อ 40 กว่าปีก่อนโน้น เมื่อครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญลงมติคำวินิจฉัยกลาง 8-7 เสียงให้นาย ทักษิณ ชินวัตร ชนะคดีซุกหุ้นเมื่อ 3 ส.ค.2544ปรากฏว่า ตุลาการเสียงข้างน้อยหรือผู้เห็นว่าคุณทักษิณผิด 7 เสียงนั้น มีรายชื่อของนาย อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ รวมอยู่ด้วย จึงมีการวิเคราะห์มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่ ดร.เอกนิติถูกย้ายไปกรมธนารักษ์แล้วว่า น่าจะเป็นผลมาจากแค้นฝังหุ่นของใครคนหนึ่งเมื่อครั้งกระนั้นเพราะนาย อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ ก็คือบิดาของ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ นั่นเองผมเองไม่ค่อยเชื่อบทวิเคราะห์นี้เพราะมาถึงวันนี้ถึงพรรคเพื่อไทยหากยังแค้นอยู่จริงก็ไม่น่าจะมีพลังอะไรเหลืออยู่ในกระทรวงการคลังอีกแล้ว เพราะได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้วประกอบกับ ดร.เอกนิติจะยังอยู่ในราชการอีกถึง 5-6 ปีโอกาสจะได้รับความเป็นธรรมกลับเข้าสู่ลู่ทางไปสู่ตำแหน่งปลัดกระทรวง น่าจะกลับคืนมาได้อีกครั้งในวันใดวันหนึ่งอีกไม่นานนักผมจึงอยากจะเชื่อว่า ดร.เอกนิติขันอาสาที่จะมาช่วยกอบกู้ เศรษฐกิจไทยครั้งนี้ด้วยความตั้งใจของท่านเอง และการได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็คือว่าสุดยอดแล้ว ข้ามขั้นไปเลยไม่ต้องเป็นปลัดกระทรวงให้เสียเวลาไม่ว่าอย่างไรผมยืนยันอีกครั้งว่า ผมติดตามท่านมานานมาก และเอาใจช่วยท่านตลอด และเชื่อว่าท่านมีความรู้ความสามารถที่จะช่วยในการฟื้นฟูเศรษฐกิจครั้งนี้ไม่มากก็น้อย4 เดือน ทำงานให้เต็มที่ ฝากผลงานไว้ให้ประจักษ์ สำเร็จไม่สำเร็จช่างเถอะ เวลาเท่านี้จะทำอะไรได้ แต่จะต้องปักหมุดดึงนโยบายการคลังให้กลับเข้าสู่เส้นทาง “เสถียรภาพ” ให้จงได้ เพื่อความมั่นคงของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว.“ซูม”คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม