3–5 กันยายน สภาผู้แทนฯเปิดประชุมนัดพิเศษ เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ระหว่างที่รอดู “ละครการเมืองแบบไทยไทย” ผมขอนำบทสัมภาษณ์บางตอนของ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ที่จะครบวาระ 5 ปีในวันที่ 30 กันยายนนี้ ซึ่งเปิดใจให้สัมภาษณ์กับ “วารสารการเงินธนาคาร” ยาวเหยียด มีหลายตอนที่เป็น “ความในใจ” ของผู้ว่าการแบงก์ชาติที่น่าสนใจ เพิ่งเปิดใจเป็นครั้งแรก เอามาให้อ่านกันครับเริ่มตั้งแต่เรื่อง ความขัดแย้งระหว่างคลังกับแบงก์ชาติ ที่เป็นข่าวมาตลอดดร.เศรษฐพุฒิ เปิดเผยว่า หน้าที่ของ ธปท.คือการดูแลภาพรวม และมองระยะยาว โดยต้องมีความสมดุลระหว่าง “เสียงที่ได้ยิน” กับ “ตาที่มองเห็นข้อมูล” เพราะการฟังแต่เสียงที่ดังมากเกินไปจนกลบเสียงอื่นจนหายไป ก็ไม่ดี ใจต้องนิ่งพอ อย่าฟังแค่คนที่เสียงดัง ตาต้องดูข้อมูลให้ดีด้วย ภาพการขาดการประสานงานระหว่างนโยบายการเงินกับนโยบายการคลัง จนถูกมองเป็นเหมือนละครมากไป ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นทั้งหมด การทำงานของธนาคารกลางกับรัฐบาล ไม่ใช่การรับคำสั่งโดยตรง แต่เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน เพราะต่างสวมหมวกคนละใบ รัฐบาลมีโจทย์ของรัฐบาล ธนาคารกลางก็มีหน้าที่ของธนาคารกลาง การมองต่างไม่ได้หมายความว่าคุยกันไม่ได้ เพราะสิ่งที่สองฝ่ายต้องการเห็นก็คือ เสถียรภาพ การเติบโต ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยที่ดี แต่อาจต่างกันที่มองระยะสั้นและมองระยะยาวธนาคารกลางเหมือนเป็นหมอ คนไข้อาจอยากได้อะไรที่ทำแล้วหายเร็ว แต่ถ้ามีผลข้างเคียงก็อาจให้ไม่ได้ ถ้าเจ็บแต่อยากให้ฉีดสเตียรอยด์ ก็อาจหายเจ็บ แต่ผลข้างเคียงก็เยอะ ระยะยาวไม่ดีแน่นอน ตรงนี้อาจทำให้มุมมองต่างกัน จนกลายเป็นเหมือนละคร แต่ผมอยากให้เป็นสารคดี ไม่อยากให้เป็นละครดร.เศรษฐพุฒิ เปิดเผยว่า ธปท.ให้ความสำคัญกับแผนงานระยะยาว โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน (Financial Landscape) ซึ่งมีแนวคิดหลักคือ 3 Open ประกอบด้วย 1.Open Competition การเปิดกว้างด้านการแข่งขัน ส่งเสริมการแข่งขันจากผู้เล่นรายใหม่ในตลาด เพื่อกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมและทางเลือกสำหรับผู้ใช้บริการ เช่น การออกใบอนุญาต Virtual Bank 2.Open Infrastructure การเปิดกว้างด้านโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมการเชื่อมต่อระหว่างระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อให้การทำธุรกรรมทางการเงินมีประสิทธิภาพราบรื่นยิ่งขึ้น 3.Open Data การเปิดกว้างด้านข้อมูล ส่งเสริมให้มีการแบ่งปันข้อมูล เพื่อนำไปสู่ การสร้างบริการทางการเงินที่เฉพาะเจาะจง และตอบโจทย์ความต้องการ ของผู้ใช้บริการแต่ละรายได้ดียิ่งขึ้นผมเพิ่งเดินทางไปดูเรื่องนี้ที่สวิตกับแบงก์กรุงไทยมา วันหลังจะเล่าให้ฟังเพิ่มเติมครับเรื่องสุดท้ายคือเรื่องเศรษฐกิจที่คนรู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ดี เรื่องนี้ “ผู้ว่าการนก” ดร.เศรษฐพุฒิ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยแย่กว่าตัวเลขจีดีพีชัดเจน จึงเป็นที่มาที่คนรู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ดี ส่วนหนึ่งมาจากค่า ครองชีพที่สูงขึ้น เงินเฟ้อเราตํ่า แต่ระดับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเยอะ ช่วงสงครามยูเครนราคาสินค้าปรับขึ้น พอขึ้นแล้วก็ไม่ค่อยลง ค่าครองชีพจึงเพิ่มสูงขึ้น รายได้ฟื้นช้า หนี้ก็เยอะ ตัวเลขจีดีพีแค่วัดว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้สะท้อนรายได้ของคนหมู่ใหญ่ดร.นก ชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องจัดการโดยเร่งด่วน คือ จัดการกับผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ จัดการกับปัญหาสินค้าราคาถูกที่นำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และการเยียวยา แต่ต้องไม่หยุดที่ การเยียวยา ควรมุ่งเน้นที่การปรับตัวอย่างเหมาะสม โลกได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว การปรับตัวในช่วงนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นดร.เศรษฐพุฒิ แนะนำว่า รัฐบาลต้องเลิกเน้นการเพ้อฝันล่าตัวเลข ไม่ว่าจะเป็นจีดีพีหรือการลงทุน แต่ท้ายที่สุดไม่ได้อะไรกลับมา แค่ใช้เราเป็นแหล่งผลิตเพื่อส่งออก เราต้องปรับความคิดใหม่ เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับ พื้นฐานที่เราถนัด เช่น อาหาร เกษตร ท่องเที่ยว ต่อยอดด้วยการร่วมมือจากทุกฝ่าย อยากให้ไทยกล้าอยู่ในโลกของความเป็นจริงมากกว่านี้ ชัดเจนนะครับ หลายสิบปีที่ผ่านมาจีดีพีไม่ได้ทำให้ชีวิตคนไทยดีขึ้นเลย.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม