การปะทะกันตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา สงบลงชั่วคราว ตามข้อตกลงหยุดยิง เพื่อเจรจากันตามกรอบทวิภาคี ขณะที่กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง และพรรคฝ่ายค้าน ได้ตั้งแง่สงสัยเรื่องการเจรจาปักปันเขตแดนไทยกับกัมพูชา โดยพุ่งเป้าไปที่บันทึกข้อตกลง MOU 43 และ MOU 44 โจมตีรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอาจทำให้ไทยเสียดินแดนทั้งนี้สำหรับ MOU 43 คือ ข้อตกลงร่วมที่เป็นกรอบในการสำรวจปักปันเขตแดนทางบกระหว่างไทย–กัมพูชา และการตั้งคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) โดยกำหนดให้ยึดเอกสารสนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ค.ศ.1904–1907 โดยยึดหลักเขตเดิม 74 หลัก เป็นฐาน และมีข้อห้ามทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ชายแดนส่วน MOU 44 เป็นข้อตกลงร่วม ที่ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล ในบริเวณอ่าวไทย เพื่อหาทางออกทั้งการแบ่งเขตแดนระหว่างไทย–กัมพูชา และการพัฒนาร่วมกัน ซึ่งไม่ใช่เอกสารที่จะยกอธิปไตย หรือปักปันเขตแดนกันโดยทันที และสอดคล้องกับกฎหมายทะเลที่ให้คู่กรณีทำข้อตกลงชั่วคราวระหว่างที่มีการเจรจาซึ่งประเด็นรายละเอียดต่างๆ ของ MOU 43 และ MOU 44 ยังเป็นข้อถกเถียงกันว่าเป็นบวกหรือลบต่อประเทศไทยกันแน่ เพราะกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลและฝ่ายค้าน ก็พยายามชี้ว่าบันทึกข้อตกลง 2 ฉบับนี้ จะทำให้ประเทศเกิดความเสียหาย เพราะเป็นการยอมรับแผนที่ 1:200,000 ทำให้เสียดินแดน และทรัพยากรในอ่าวไทยส่วนรัฐบาล กรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศ ยืนยัน MOU 43 และ MOU 44 เป็นกลไกบริหารจัดการข้อพิพาท ผูกมัดให้กัมพูชามาเจรจาแก้ปัญหาร่วมกัน ถ้าไม่มีข้อผูกมัดนี้จะเปิดช่องให้ประเทศที่ 3 เข้ามามีอำนาจชี้ขาดเรื่องดินแดน ซึ่งเรายืนยันใช้แผนที่ 1:50,000 ถ้ายกเลิก MOU อาจหนีไม่พ้นต้องใช้แผนที่ 1:200,000ล่าสุด สภาฯได้พิจารณาญัตติของ สส.จากทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน รวม 5 ญัตติ ที่ขอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาผลดีและผลเสีย MOU 43 และ MOU 44 โดยสภาฯได้มีมติเห็นชอบให้ตั้งคณะกรรมาธิการฯดังกล่าว ขณะที่วุฒิสภาก็มีการตั้งคณะกรรมาธิการฯขึ้นมาศึกษา MOU ทั้ง 2 ฉบับนี้ เช่นเดียวกันเมื่อสังคมยังมีความสับสน เคลือบแคลงสงสัยเรื่องผลกระทบจาก MOU 43 และ 44 ในการปักปันเขตแดนไทย–กัมพูชา ทั้งบนบกและในทะเล รัฐบาลเองก็สมควรจะต้องหาทางพิสูจน์ และชี้แจงให้ชัดเจนว่าบันทึกข้อตกลงดังกล่าวไม่มีอะไรซ่อนเร้นแอบแฝงที่จะทำให้ประเทศไทยเสียประโยชน์ เพื่อลดความหวาดระแวงของสังคม.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม