“แพทองธาร” ลุ้นระทึกศาลรัฐธรรมนูญนัดชี้ชะตาคดีคลิปเสียง “ฮุน เซน” บ่ายสาม 29 ส.ค. ขีดเส้น 15 วัน สั่งพยานแจงเพิ่มคดี “ภูมิธรรม-ทวี” ยุ่งฮั้วเลือก สว.“อิ๊งค์” เข้าสภาฯให้กำลังใจ สส.เฝ้าสภาฯถกร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 69 วาระ 2-3 โปรยยิ้มให้สื่อแทนคำตอบกำลังใจยังดีอยู่หรือไม่ ถกงบฯปี 69 วาระ 2-3 วันแรก “ไหม” หวดรัฐรีดภาษีพลาด จัดงบฯไม่รองรับวิกฤติเศรษฐกิจ “พริษฐ์” ฉะทำโครงการสะเปะสะปะซ้ำซ้อน ไม่เหลือเงินแก้ปัญหาให้ประชาชน “รักชนก” ด่าทุเรศโมเดล “อาสา” ผลาญงบฯสนองงานการเมือง “ศุภณัฐ” ขยี้งบฯก่อสร้าง 3.2 แสนล้าน แฉ สตช.ยัดไส้ผุดบ้านพักหรูให้ ผบ.ตร.และรอง ผบ.ตร. “คมนาคม” ทุ่ม 3.8 พันล้าน สร้างตึกใหญ่เกินจำเป็น รพ.ราชทัณฑ์จัดซื้อเว่อร์เกินเบอร์ค่าบิลต์อินตารางเมตรละแสนพรรคเพื่อไทย (พท.) กำชับ สส.อย่างเข้มข้นในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระ 2-3 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่ององค์ประชุมสภาฯไม่ครบ ขณะที่พรรคฝ่ายค้านติงการจัดงบฯของรัฐบาลซ้ำซ้อน และไม่ได้จัดงบฯไว้รองรับวิกฤติเศรษฐกิจพท.กำชับ สส.เป็นองค์ประชุมถกงบฯ 69เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 13 ส.ค. ที่รัฐสภา พรรคเพื่อไทย (พท.) ประชุม สส.ทำความเข้าใจการประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 มีนายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวฯ เลขาธิการพรรค นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธาน สส.พรรค เป็นประธานการประชุม โดยนายสรวงศ์กล่าวว่า ขอให้ทุกคนอยู่ร่วมเป็นองค์ประชุมทั้ง 3 วัน พวกตนกรรมการบริหารพรรคจะอยู่เคียงคู่กับพวกท่านทำงานร่วมกัน ทราบว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯและ รมว.วัฒนธรรม หัวหน้าพรรค จะมาอยู่กับพวกเราที่สภาฯด้วย ด้านนายวิสุทธิ์กล่าวว่า การลงมติขอให้ดูเพื่อนข้างๆด้วย เพราะต้องลงมติรายมาตรา ต้องแสดงตนหลายครั้ง มั่นใจทั้งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคประสานพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ทุกพรรคยืนยันเป็นองค์ประชุม เพราะฝ่ายค้านบอกมาเด็ดขาดว่าไม่เป็นองค์ประชุมให้ จึงมีแต่พวกเราที่ต้องช่วยกันเอง มั่นใจว่าจะดูแลกัน เป็นองค์ประชุม ผ่านงบฯอย่างไม่มีปัญหาโปรดเกล้าฯ “ไชยา” รอง ปธ.สภาคนที่ 1ต่อมาเวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมสัมมนา B1 อาคารรัฐสภา สำนักงานเลขาธิการสภาฯ จัดพิธีรับสนองพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายไชยา พรหมา เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 โดย น.ส.สาวิตรี ชำนาญกิจ รองเลขาธิการ ครม.เชิญและอ่านพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายไชยา พรหมา เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 10 ส.ค.2568 เป็นปีที่ 10 ในรัชกาลปัจจุบัน มีนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ว่าที่ ร.ต.ต.อาพัทธ์ สุขะนันท์ เลขาธิการสภาฯ และนางปัณณิตา สท้านไตรภพ เลขาธิการวุฒิสภา พร้อมคณะผู้บริหารสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาร่วมแสดงความยินดีสภาฯถกงบรายจ่ายปี 69 วาระ 2–3จากนั้นเวลา 09.30 น. มีการประชุมสภาฯ นัดพิเศษ มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุมพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบฯ ปี 69 วาระ 2-3 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ตามที่คณะ กมธ.วิสามัญฯพิจารณาเสร็จแล้ว โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและ รมว.คลัง ประธานกมธ.วิสามัญชี้แจงว่า กมธ.ปรับลดงบ 8,920 ล้านบาท พิจารณาจากความสอดคล้องของสถานการณ์ปัจจุบัน ความคุ้มค่าและศักยภาพการใช้จ่ายงบฯนำไปปรับเพิ่มให้หน่วยงานต่างๆ 8.9 พันล้านบาท อาทิ งบกลาง สำนักนายกฯ กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กระทรวงเกษตรฯ การปรับลดและเพิ่มงบ กมธ.ให้ความสำคัญกับความพร้อม ศักยภาพหน่วยงาน และภารกิจสนับสนุนกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ และผลประโยชน์ประชาชน โดยไม่ขัดรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องปชน.อัดจัดงบไม่รองรับวิกฤติ ศก.น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายมาตรา 4 วงเงินงบฯปี 69 จำนวน 3.78 ล้านล้านบาทว่า ขอตัดลดงบฯปี 69 เพิ่มอีก 5 หมื่นล้านบาท เพราะจีดีพีปี 69 โตแค่ 1.9% ทำให้การจัดเก็บรายได้ลดลง คาดว่าการจัดเก็บรายได้พลาดเป้าเกือบ 6.4 หมื่นล้านบาท ทั้งภาษีสรรพสามิต ภาษีสรรพากร ขณะที่รายจ่ายประเทศเจอภาวะความเสี่ยงเศรษฐกิจโลก แต่กลับไม่ได้เตรียมงบฯรองรับ ทำให้ไม่มีงบพยุงหรือฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่วนหนี้สาธารณะใกล้ชนเพดาน สิ้นปีงบฯ 68 ขึ้นไป 66% และปี 69 จะขึ้นไป 69%ใกล้ชนเพดาน 70% เต็มที จำเป็นต้องประหยัดงบฯ ปี 69 แต่ กมธ.ปรับลดงบได้แค่ 8.9 พันล้านบาท เหมือนไม่รู้สึกว่ามีวิกฤติเศรษฐกิจรออยู่ การจัดงบไม่ตอบโจทย์สงครามการค้า จำเป็นต้องตัดงบลง เพื่อประหยัดไว้ใช้ เมื่อยามเกิดวิกฤติจริงสับทำโครงการสะเปะสะปะซ้ำซ้อนนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคปชน. อภิปรายว่า การจัดทำงบฯ ปี 69 มีความซ้ำซ้อน 3 ด้านคือ 1.แยกกันทำ มีโครงการที่เป็นการคาบเกี่ยวกับภารกิจของหลายหน่วยงาน แต่หน่วยงานต่างๆเลือกที่จะต่างคนต่างทำมากกว่าร่วมกันทำ 2.แย่งกันทำ มีความซ้ำซ้อนในภารกิจของแต่ละหน่วยงานอย่างชัดเจน 3.ย้ายออกไปทำหลายหน่วยงานถูกตั้งขึ้นมาด้วยภารกิจที่เสี่ยงซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่แล้ว หากมีการศึกษาพิจารณา ควบรวมหน่วยงานอย่างจริงจัง จะทำให้โครงการมีความสะเปะสะปะน้อยลง ถ้ายังไม่ลดความซับซ้อนการจัดทำงบประมาณที่แทรกอยู่ทุกหน่วยราชการ จะไม่เหลืองบประมาณแก้ปัญหาให้ประชาชนด่าทุเรศใช้งบอาสาสนองการเมืองน.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรค ปชน.อภิปรายว่า ขอพูดถึงงบฯอาสาสมัครแต่ละกระทรวง หลายพรรคพยายามใช้เครือข่ายอาสาต่างๆ หวังผลทางการเมือง ประชาชนไม่โง่ดูออก การใช้ อสม. ปฏิบัติการบางอย่างจนสำเร็จลุล่วง ทำให้กระทรวงอื่นทำตาม เช่น อาสากระทรวงการพัฒนาสังคมฯอาสา กระทรวงดิจิทัลฯ อาสากระทรวงการทรัพยากรธรรมชาติฯ โดยเฉพาะอาสากระทรวงเกษตรฯมีเกือบทุกกรม อยากให้รัฐบาลรวบรวมอาสามาไว้ด้วยกันให้งบฯแค่กระทรวงเดียว ถ้าทุกกระทรวงมีอาสาหมดจะเป็นภาระงบฯ อสม.หลายพื้นที่เป็นทุกอาสา คนเดียวมีตำแหน่งเยอะมาก สิ้นเปลืองงบฯซ้ำซ้อน ถูกใช้เป็นแขนขาให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงไปทำปฏิบัติการอะไรบางอย่าง ไม่เห็นด้วยการเอางบแผ่นดินไปทำให้บรรลุวัตถุประสงค์บางพรรคที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงนั้นๆ มันทุเรศ ไม่อยากให้ทำ เข้าใจอาสาได้ประโยชน์เม็ดเงินตรงนี้ แต่ควรใช้เงินให้ถูกจุดขยี้ รพ.ราชทัณฑ์จัดซื้อแพงเว่อร์นายศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กทม.พรรคปชน. อภิปรายว่างบก่อสร้างที่คณะอนุ กมธ.ก่อสร้างขอมามีกว่า 320,000 ล้านบาท มีปัญหา 8 ด้านคือ 1.ขอในสิ่งไม่ควรขอ เช่น บ้านพัก ผบ.ตร.และรอง ผบ.ตร. 7 หลัง 91 ล้านบาท อ้างเป็นศูนย์บัญชาการแต่ออกแบบเป็นบ้านพัก มีห้องจัดเลี้ยง หรืองบสร้างพิพิธภัณฑ์ไม้มีค่า 3,800 ล้านบาท พิพิธภัณฑ์ฝนหลวง เพชรบุรี 450 ล้านบาท มีอยู่แล้วทั้งประเทศ 1,500 แห่งแต่ขอสร้างไม่เลิก 2.ขอสร้างอาคารขนาดใหญ่เกินจำเป็น เช่น ตึกกระทรวงคมนาคม 3,832 ล้านบาท เหมาะกับคน 3,000 คน แต่อยู่จริง 1,000 คน ผลาญงบกว่า 2,000 ล้านบาท 3.ราคาต่อหน่วยแพงเกินจริง เช่น รพ.ราชทัณฑ์ ถูกลดงบ 47% จาก 260 ล้านบาท เหลือ 137 ล้านบาท เพราะค่าตกแต่งภายในแพงมาก เช่น งาน Builtin ตารางเมตรละ 1 แสนบาท แพงกว่าราคาตลาด 5-10 เท่า ประตูบานละ 1 แสนบาท เคาน์เตอร์เวชระเบียน 2 ล้านบาท ตู้ใส่รองเท้าคนไข้ 7 แสนบาท ตู้ใส่ผ้าอบ 2 ล้านบาท 4.ไม่บูรณาการใช้สอยอาคารร่วมกัน กลายเป็น 1 กรม 1 สำนัก 1 ตึก อยู่จังหวัดเดียวกันสร้างแยกกัน 5.ชอบสร้าง ไม่ชอบเช่า เพราะอยากมีเอี่ยวจัดซื้อจัดจ้าง 6.อยากเป็น Operator สร้างแข่งกับเอกชน เช่น กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ขอสร้างตึกอาคารสำนักงานและจัดนิทรรศการ 873 ล้านบาท แทนขอเช่าตึกเอกชนได้ถูกกว่า 7.ใช้ที่ดินเปลือง 8.จัดสรรงบผิดฝา ผิดตัว เช่น กระทรวงกลาโหมไปแข่งสร้างถนน ทำน้ำประปา เจาะบ่อบาดาล ลอกคลอง ผลิตยา สร้างโรงพยาบาลกับหน่วยงานอื่น ตั้งงบไร้ประสิทธิภาพทั้งสิ้น“ณัฐพงษ์” เฉ่งจัดงบหูหนวก–ตาบอดนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายว่า การจัดสรรงบ 69 ไม่ตรงจุดไม่ตอบโจทย์รับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจ และสงคราม ไม่โทษ กมธ. แต่โทษรัฐบาลที่หูหนวกไม่ฟังเสียงสภา ตาบอดไม่พิจารณาบประมาณที่มีความจำเป็นกับประชาชนและภาวะประเทศ เพราะรัฐบาลขาดเข็มทิศ สิ่งที่เศรษฐกิจต้องการคือ เม็ดเงินลงทุน สร้างการเติบโตประเทศ ไม่ใช่กระจุกตัวเฉพาะผู้รับสัมปทานบางกลุ่ม ถ้ารัฐบาลเตรียมร่าง พ.ร.บ.งบฯ 69 ดีเพียงพอ นักลงทุนจะเห็นเป้าหมาย สิ่งที่อยากเห็นในงบลงทุนคือ การปลูกป่าเศรษฐกิจ การต่อยอดอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ปลูกโซลาร์บนหลังคาประชาชน โดยให้รัฐบาลร่วมลงทุน ช่วยประชาชนลดค่าไฟ แต่ร่าง พ.ร.บ.งบฯ 69 คิดไม่รอบคอบ คิดไม่ลึก จึงขอปรับลดกรอบวงเงิน“จุลพันธ์” ยันจัดเก็บรายได้เข้าเป้านายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงว่า ข้อห่วงใยการจัดเก็บรายได้งบฯปี 69 อาจไม่เข้าเป้า กระทรวงการคลังเชื่อมั่นว่ามีศักยภาพเพียงพอจัดเก็บรายได้อย่างเหมาะสม ไม่มีผลกระทบต่อการใช้งบฯ ยืนยันการจัดเก็บรายได้ลุล่วง งบฯรายจ่าย 3.78 ล้านล้านบาทเหมาะสม หากปรับลดจะเป็นผลร้ายต่อระบบเศรษฐกิจ กระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนกระสุนต่างๆมีเพียงพอ ทั้งเงินคงคลัง เงินทดรองราชการ ตามกลไกที่มีอยู่ถือว่าเพียงพอแก้ปัญหาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต ยืนยันว่าการจัดทำงบฯปี 69 ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ไม่ได้ปรับลดหรือโยกงบฯใช้ผิดกฎหมาย ส่วนการกู้เงินถ้าดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว หลังจากอภิปรายมาตรา 4 นานเกือบ 4 ชั่วโมง ที่ประชุมลงมติเห็นชอบมาตราดังกล่าวด้วยคะแนน 256 ต่อ 138 งดออกเสียง 73 ไม่ลงคะแนน 1“ชวน” ร้องเพิ่มเงินเยียวยาทหารสู้โจรใต้กระทั่งเข้าสู่การพิจารณามาตรา 6 งบฯกลาง ที่ กมธ.ปรับลดเหลือ 632,968,750,000 บาท จากเดิม 633,968,750,000 บาท สมาชิกส่วนใหญ่อภิปรายหลากหลาย อาทิ นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็นในงบฯกลางปีนี้ ได้รับ 99,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งถูกนำไปเยียวยาทหารและประชาชนจากเหตุการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ตามมติ ครม.วันที่ 5 ส.ค.ทหารเสียชีวิตได้เงิน 10 ล้านบาท บาดเจ็บสาหัส 1 ล้านบาท ประชาชนเสียชีวิตได้ 8 ล้านบาท บาดเจ็บสาหัส 8 แสนบาท เทียบกับความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้เงินเยียวยาน้อยกว่า เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เหลื่อมล้ำ ชายแดนใต้มีระเบิด ขาขาด ไม่ต่างจากชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลเรียกร้องความสามัคคี แต่ความสามัคคีจะเกิดขึ้นถ้าไม่เลือกปฏิบัติ พื้นที่อื่นๆที่มีความเสี่ยงควรได้รับการช่วยเหลือเท่ากันหรือไม่“หนิม” รับข้อสังเกตไปหารือ ครม.ขณะที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงว่า ขณะนี้ ครม.อนุมัติเงินช่วยเหลือผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ จากเหตุความไม่สงบชายแดนไทย- กัมพูชาไปแล้ว 300 กว่าล้านบาท แต่จะขยายไปยังกลุ่มอื่นๆ หรือไม่ ขอรับข้อสังเกตไปหารือกับ ครม.ยังไม่สามารถตอบได้ หลังจากสมาชิกอภิปรายครบถ้วนแล้ว ที่ประชุมลงมติเห็นชอบมาตรา 6 ด้วยคะแนน 250 ต่อ 137 งดออกเสียง 7 ไม่ลงคะแนน 2ซัดประโยชน์ทับซ้อนซอฟต์พาวเวอร์เมื่อเข้าสู่การพิจารณามาตรา 7 สำนักนายกฯ ที่ กมธ.ปรับลดเหลือ 26,001,638,100 บาท จากเดิม 26,336,668,300 บาท นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อพรรค ปชน. อภิปรายการจัดสรรงบฯโครงการซอฟต์พาวเวอร์ ได้เพิ่มงบฯสูงมากถึง 72% จากปี 68 ได้ 2,300 ล้านบาท แต่ปี 69 เพิ่มเป็น 3,900ล้านบาท ทั้งที่ตัวชี้วัดจำนวนนักท่องเที่ยวปีที่ผ่านมาไม่เพิ่มขึ้น รัฐบาลใช้วิธีฝากงบซอฟต์พาวเวอร์ใน 27 หน่วยงาน 9 กระทรวง หลายหน่วยงานงบฯซ้ำซ้อนกัน และรัฐบาลไม่มีแนวทางชัดเจนป้องกันความเสี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อนโครงการซอฟต์พาวเวอร์ เป็นเส้นบางๆ ระหว่างการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้คำแนะนำกับการเปิดให้เอกชนชงงานเองรับงานเอง ควรวางกฎเกณฑ์ป้องกันบริษัทเอกชน ใช้ความสัมพันธ์จากการเป็นคณะกรรมการซอฟต์พาวเวอร์มารับงานกังขา ทบ.อำพรางงบฯผูกพันต่อมาการอภิปรายเข้าสู่มาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 95,167,226,900 บาท นายณัฐพงศ์ เปรมพูลสวัสดิ์ สส.กทม.พรรค ปชน. อภิปรายว่างบก่อสร้างอาคารของ ทบ.สุดสูงถึง 4.7 พันล้านบาท ไม่ผูกพันแม้แต่โครงการเดียวต่างจากกองทัพอื่น ย้อนกลับไปช่วงปี 61-69 ขอซ้ำทุกปีถึง 44 รายการจากทั้งหมด 47 รายการ ถ้าดูตัวเลขรวมโครงการผูกพันที่ดูเหมือนจะไม่ผูกพัน จะเห็นความจริงไม่ใช่แค่ 4 พันกว่าล้านบาท แต่ใช้งบฯมากถึงกว่า 3.2 หมื่นล้านบาท แบบนี้จะทำให้พวกเราไม่สามารถเห็นตัวเลขรวมนายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า ปีนี้งบกลาโหมปรับลดน้อย เนื่องจากเป็นปีที่มีปัญหาขัดแย้งรุนแรงกับประเทศเพื่อนบ้าน กมธ.จึงพิจารณางบกองทัพอาจไม่ตรงกับมาตรฐานที่ตั้งไว้ สถานการณ์วันนี้ต้องแสดงให้ศัตรูเห็นว่าประเทศไทยร่วมแรงร่วมใจกันทุกมิติ จึงไม่ปรับลดงบมาก หลังจากอภิปรายครบถ้วนที่ประชุมลงมติเห็นชอบมาตรา 8“อิ๊งค์” ยิ้มสื่อถามกำลังใจดีอยู่ไหมเมื่อเวลา 12.25 น. ที่รัฐสภา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯและ รมว.วัฒนธรรม หัวหน้าพรรค พท. เข้าสภาฯเพื่อให้กำลังใจ สส.ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 69 วาระ 2 และวาระ 3 วันแรก มีบรรดารัฐมนตรีและ สส.ของพรรคมารอต้อนรับ โดย น.ส.แพทองธาร มีสีหน้ายิ้มแย้ม โบกมือทักทายสื่อ ผู้สื่อข่าวถาม น.ส.แพทองธารที่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์มานานว่าสบายดีหรือไม่เป็นอย่างไรบ้าง น.ส.แพทองธารไม่ได้ตอบ เพียงแต่ยิ้มให้ เมื่อถามอีกว่ากำลังใจช่วงนี้ยังดีอยู่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร ยิ้มพยักหน้ารับ แต่ไม่ได้ตอบ ก่อนเดินขึ้นห้องรับรองทันทีศาล รธน.ถกคดีคลิปสนทนา “ฮุน เซน”ช่วงบ่าย ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีการประชุมประจำสัปดาห์ ต่อมาเวลา 16.04 น. สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เผยแพร่เอกสารข่าวว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณากรณี สว.รวม 36 คน เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธาน สว. (ผู้ร้อง) ว่าปรากฏคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.68 ผู้ถูกร้องแถลงข่าวยอมรับว่าเป็นเสียงการสนทนาของตนกับสมเด็จฮุน เซน จริง แม้ผู้ถูกร้องจะแถลงข่าวในเวลาต่อมาว่าเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัวโดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวล เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทยก็ตาม แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคำร้องเห็นว่าผู้ถูกร้องแสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบ หรือกำหนดมาตรการรวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัยและพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกฯ พึงกระทำ เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ถูกร้องเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ผู้ถูกร้องไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยลุ้นระทึกนัดชี้ชะตาบ่ายสาม 29 ส.ค.ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา กำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก คือ ผู้ถูกร้องและเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในวันที่ 21 ส.ค. เวลา 10.30 น. พยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญ เรียกหากไม่มาตามกำหนดนัดถือว่าไม่ติดใจเป็นพยานบุคคล และให้ผู้ร้องหรือผู้ถูกร้อง ที่ประสงค์จะแถลงการณ์ปิดคดี ให้ยื่นเป็นหนังสือต่อศาลภายในวันที่ 27 ส.ค. หากไม่ยื่นภายในกำหนดถือว่าไม่ติดใจยื่น โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือและลงมติในวันที่ 29 ส.ค. เวลา 09.30 น.นัดฟังคำวินิจฉัยเวลา 15.00 น.เป็นต้นไป ณ ห้องพิจารณาคดี ชั้น 3 ศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์และศาลรัฐธรรมนูญจะอนุญาตให้ผู้เข้าฟังการไต่สวนและฟังคำวินิจฉัยเป็นรายบุคคลเรียกข้อมูล–พยานคดีสอย “อ้วน–ทวี”ศาลรัฐธรรมนูญยังได้พิจารณาคำร้องที่ประธาน สว.ส่งคำร้องของ สว.ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.กลาโหม และพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ กรณีผู้ถูกร้องทั้งสองมีมติให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 23 วรรคหนึ่ง (2) เป็นการแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่และอำนาจของ กกต.โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการ ตรวจสอบการเลือก สว.อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่และครอบงำ สว.ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงศาลรัฐธรรมนูญให้เรียกพยานบุคคลและพยานเอกสาร โดยให้พยานบุคคลที่เกี่ยวข้องเสนอบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริง หรือความเห็นเป็นหนังสือตามประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนด และจัดส่งข้อมูลพร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องพร้อมรับรองความถูกต้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อไปผบ.ทร.ชี้ ครม.ให้งบฯ ฟริเกต 1 ลำก่อนที่หอประชุมกองทัพเรือ พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผบ.ทร.ให้สัมภาษณ์กรณี ครม.เห็นชอบแก้ไขข้อตกลงโครงการเรือดำน้ำเปลี่ยนใช้เครื่องยนต์ดีเซลขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า CHD620 ของจีน พร้อมขยายระยะเวลาส่งมอบเรือ 1,217 วันว่า จากนี้จะร่างสัญญาแก้ไขข้อตกลง 2 ฝ่าย ต้องผ่านอัยการสูงสุดเห็นชอบ โครงการเรือดำน้ำผ่านไฟเขียวจากครม.ให้ต่อเรือ 1 ลำก่อน กว่าจะแก้สัญญาจนดำเนินการแล้วเสร็จนั้นต้องใช้ระยะเวลา 3 ปี ส่วนโครงการเรือฟริเกต ครม.อนุมัติโครงการให้ 2 ลำแล้ว แม้ว่าจะได้เงินงบฯแค่ลำเดียวก็ตาม แต่เมื่อได้ลำที่ 1 จะเปิดทางให้กับลำที่ 2 หากรัฐบาลอนุมัติงบต่อจะเป็นโครงการที่ต่อเนื่องกันไปเลย ไม่จำเป็นต้องคัดเลือกใหม่อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่