รัฐบาลเพื่อไทย “ขายฝัน” เก่ง แต่จะทำได้จริงอย่างที่ขายฝันหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เวลานี้เศรษฐกิจไทยกำลังตกตํ่า ชาวนาขายข้าวได้ตํ่าเป็นประวัติการณ์ เอสเอ็มอีเจ๊งกันระนาว รัฐบาลกลับทุ่มงบ 25,000 ล้านบาท จะยกระดับไทยเป็นฮับเทคโนโลยี เปลี่ยนเศรษฐกิจดิจิทัลไปสู่ “AI Nation” โดย คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (บอร์ดเอไอแห่งชาติ) เห็นชอบงบประมาณ 25,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2569-2570 เพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศคุณประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลฯ ยังไปโชว์วิสัยทัศน์ที่เวที APEC 2025 Digital and AI Ministerial Meeting เมืองอินชอน เกาหลีใต้คุณประเสริฐ บอกว่า ไทยจะก้าวจากประเทศ “ผู้ใช้” มาเป็น “ผู้พัฒนา AI” รัฐบาลมีแผนจะไปโรดโชว์ที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และสหรัฐฯ เพื่อเจรจาจับคู่ธุรกิจและดึงดูดการลงทุน ฟังแล้วก็งงๆ ไทยจะทุ่มทุนพัฒนาเอไอเอง หรือทุ่มทุนไปดึงบริษัทเอไอต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย คุณประเสริฐ ยังโม้ด้วยว่า เป้าหมายสูงสุดคือทำให้ประเทศไทยก้าวสู่บทบาท “ผู้กำหนดเกมดิจิทัลของอาเซียน” เป็น “ศูนย์กลาง AI แห่งเอเชีย” อย่างมั่นคงและสมดุล ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงดูท่าจะ “ขายฝันใหญ่เกินเบอร์” ไปแล้ว แค่ Digital Wallet สองปีกว่ายังทำไม่สำเร็จดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ดีป้า ก็ขายฝันต่อ เป้าหมายใน 2 ปี ไทยจะต้องมีผู้ใช้เอไอ 10 ล้านคน มีผู้เชี่ยวชาญเอไอ 90,000 คน มีนักพัฒนาเอไอ 50,000 คน โดยใช้โมเดล Public-Private Partnership ในการเร่งพัฒนา จะจัดตั้ง “สมาคม AI แห่งประเทศไทย” เพื่อเป็นกลไกกลางในการวิจัย พัฒนา และฝึกอบรม จะมีการนำนโยบาย Talent Digital Visa มาใช้เพื่อดึงผู้เชี่ยวชาญต่างชาติด้านเอไอเข้ามาทำงานในประเทศไทย จะเร่งสร้างบุคลากรในประเทศผ่านโครงการอบรมเข้มข้น และบูรณาการหลักสูตร AI ในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและบริการดิจิทัลในภูมิภาคเรียกว่าเพ้อฝันกันสนุกไปเลยครับแต่ในโลกแห่งความเป็นจริงวันนี้ ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไอเอ็มซี นักวิชาการด้านเทคดิจิทัล เปิดเผยว่า ไทยมีหลักสูตรการเรียนการสอนน้อยมาก ที่รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดจากเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม เป็นปัญหาในทุกมหาวิทยาลัยของไทย การพัฒนาหลักสูตรใหม่ๆที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก จำเป็นต้องวิเคราะห์ทิศทางอุตสาหกรรมใน 10-20 ปีข้างหน้า ต้องมีนโยบายที่ชัดเจนจากมหาวิทยาลัยหรือจากรัฐบาล ต้องมีนโยบายส่งเสริมชัดเจน จัดหางบประมาณสนับสนุนเพื่อพัฒนาผู้สอนและการลงทุนในการพัฒนาหลักสูตรแล้วดีป้าจะไปหา ผู้เชี่ยวชาญเอไอ 90,000 คน นักพัฒนาเอไออีก 50,000 คน มาจากไหนภายใน 2 ปี ทั้งที่ระบบการศึกษาไทยไม่พร้อมความจริงอันเจ็บปวดอีกเรื่องก็คือ ปัจจุบัน ประเทศไทย ได้กลายเป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย” มีจีดีพีเฉลี่ย 2% มาเป็นสิบปีโตรั้งท้ายอาเซียน ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ซีอีโอ เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นนักลงทุนให้สัมภาษณ์ว่า ประเทศไทยปัจจุบันถูกนักลงทุนต่างชาติมองว่า เป็น “คนป่วยแห่งเอเชีย” ฟังแล้วสะดุ้งสมัยก่อนต่างชาติจะมองไปที่ฟิลิปปินส์ แต่ตอนนี้มองว่าเมืองไทยเป็นอย่างนั้น “วันนี้ผมยังมองไม่เห็นอนาคต แต่ต้องบอกว่า มีคำว่าแต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่านโยบายทางเศรษฐกิจ แรงกระตุ้นบางประเภท มีนโยบายที่ฟังแล้วเข้าท่า เป็นนโยบายที่ชาวบ้านเรียกว่า New S-curve ที่ทำให้ประเทศไทยเกิดใหม่ได้”ดร.ก้องเกียรติ เสนอว่า ถ้ารัฐบาลกล้าเล่นคนที่คอร์รัปชันจริงจัง จะทำให้ความเชื่อมั่นกลับมา ดู จีน เวียดนาม คอร์รัปชันเขาจับเข้าคุกหมด เพราะทำให้ต้นทุนธุรกิจแพงรัฐบาลเพื่อไทยกล้าไหม จับคนทุจริตคอร์รัปชันทุกคนเข้าคุก เพื่อให้ประเทศไทยกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง หรือจะให้ป่วยตายไปเลยแบบนี้."ลม เปลี่ยนทิศ"คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม