หลังจากที่ประเทศไทยบรรลุข้อตกลงการเจรจาภาษีการค้ากับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ทันเส้น ตายวันที่ 1 ส.ค.2568 สามารถต่อรองให้สหรัฐฯลดการเก็บภาษีสินค้าไทยเหลือ 19% ในอัตราเทียบเท่ากับประเทศต่างๆในอาเซียน อาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย กัมพูชา ฟิลิปปินส์ จากเดิมถูกเรียกเก็บภาษี 36%แม้จะเป็นสัญญาณดีที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถแข่งทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนได้ แต่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิดถึงความเสี่ยงจากนโยบายภาษีทรัมป์หลังจากนี้ที่อาจสร้างผลกระทบกับภาคธุรกิจ ภาคการเกษตร ตามมา จากดีลที่ประเทศไทยไปเจรจาเพื่อแลกกับการลดภาษีการค้าเหลือ 19%นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ระยะที่ 2 เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถการแข่งขันผู้ประกอบการไทยให้พร้อมรับมือการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอน มากขึ้น และวางรากฐานการเติบโตของประเทศในระยะยาวนายพิชัยระบุด้วยว่า ส่วนหนึ่งของแผนการเยียวยาภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบภาษีสหรัฐฯ คือ การจัดสรรวงเงิน 10,000 ล้านบาท แก่กองทุนเพิ่มขีดความ สามารถการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เป็นช่องทางดูแลผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐ อเมริกาล่าสุดรัฐบาลได้เปิดทำเนียบฯเชิญผู้บริหารระดับสูงจาก 30 บริษัทชั้นนำระดับโลกในอุตสาหกรรมเป้าหมาย มาร่วมแลกเปลี่ยนและสร้างความเชื่อมั่นการขยายการลงทุนขนาดใหญ่ในประเทศ ไทยกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท มุ่งส่งเสริมและดึงดูดให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศ ผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอีกทางแต่ปัจจัยเสี่ยงที่อาจเป็นคิวแทรกทำลายความเชื่อมั่นการลงทุน คือปัจจัยทางการเมืองที่อยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพ สถานภาพตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่บนความไม่แน่นอน สภาวะความขัดแย้งการ เมืองไทย ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุน ทำให้การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจไม่สามารถเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ถึงแม้นโยบายภาษีการค้าสหรัฐฯจะมีบทสรุปชัดเจนเรื่องการเก็บภาษี 19% แล้ว แต่หากความขัดแย้งทางการเมือง และปัญหาคดีการเมืองต่างๆยังดำรงอยู่ ไม่สามารถคลี่คลายได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาช่วยภาคธุรกิจแค่ไหน ก็ย่อมมีผลกระทบซ้ำเติมสถานการณ์เศรษฐกิจให้ย่ำแย่ลงไปอีก.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม