เมื่อวานนี้ผมทิ้งท้ายด้วยข้อมูลเดือนเมษายน 68 จีนส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯลดลงถึง 21% แต่ส่งเข้ามาถล่มตลาดไทยเพิ่มขึ้นเป็น 28% วันนี้ไปดูกันต่อครับ สินค้าจีนที่ส่งเข้ามาถล่มตลาดไทยมากที่สุดมีอะไรบ้าง 1) เฟอร์นิเจอร์ 2)สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 3)เครื่องใช้ไฟฟ้า 4)โลหะ โลหะประดิษฐ์ วัสดุก่อสร้าง 5)ปิโตรเคมีและพลาสติก 6) ยานยนต์และชิ้นส่วนรวมยางล้อ สินค้าจีนเหล่านี้คิดเป็นสัดส่วนของการผลิตในภาคอุตสาหกรรมไทยสูงถึง 30% ปีที่แล้ว 2567 สัดส่วนการนำเข้าเฟอร์นิเจอร์จีนสูงถึง 80% ของการนำเข้าเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด แล้วโรงงานเฟอร์นิเจอร์ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร ในขณะที่ สินค้าประเภทอื่นก็ครองสัดส่วน 30–50% ของการนำเข้าสินค้าประเภทนั้น ทำให้สินค้าจีนครองตลาดเมืองไทยจนผู้ผลิตไทยไม่มีที่จะยืนสินค้านำเข้าเหล่านี้มีมูลค่าสูงถึง 39,000 ล้านดอลลาร์ หรือ กว่า 1.3 ล้านล้านบาท ทำให้ไทยขาดดุลการค้าจีนปีที่แล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท มากที่สุดในคู่ค้าทั้งหมดตอนนี้ จีนกำลังส่งสินค้าชุดใหม่เข้ามาตีตลาดไทย เพราะส่งออกไปสหรัฐฯไม่ได้ สินค้าที่เห็นชัดเจนเพราะมีตัวเลขนำเข้าสูง ก็มี ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปลา ผลิตภัณฑ์น้ำตาล เครื่องสำอาง สินค้ากลุ่มผักและผลไม้ มูลค่านำเข้าล่าสุด 2,000 ล้านดอลลาร์ กว่า 68,000 ล้านบาท และมีการขยายตัวสูงมาก ปี 2567 สินค้าแปรรูปจากปลาและน้ำตาล นำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 36.8% เครื่องสำอาง นำเข้าเพิ่มขึ้น 28% กลุ่มผักและผลไม้ นำเข้าเพ่ิมขึ้น 10.3% เกษตรกรไทยก็ตายเพราะต้นทุนการปลูกผักและผลไม้สู้จีนไม่ได้ก็ต้อง โทษรัฐบาลไทย ที่ปล่อยให้สินค้าจีนนำเข้าอย่างเสรี โดยไม่มีการควบคุม ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยตรง แต่ยังทำลายอุตสาหกรรมการผลิตของคนไทยด้วยข้อมูลจาก สภาพัฒน์ และ แบงก์ชาติ ระบุว่า ธุรกิจของคนไทยใน 6 อุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญกับสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาถล่มตลาดไทยนั้น ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเอสเอ็มอีกว่า 210,000 ราย คิดเป็นสัดส่วน 6% ของเอสเอ็มอีทั้งหมด และกระทบต่อแรงงานใน 6 อุตสาหกรรมนี้กว่า 2.2 ล้านคน ดังนี้ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ กว่า 147,000 คน อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม กว่า 431,000 คน อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า กว่า 140,000 คน อุตสาหกรรมโลหะ โลหะประดิษฐ์ วัสดุก่อสร้าง กว่า 656,000 คน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลาสติก กว่า 256,000 คน และ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน กว่า 528,000 คนเป็น วิกฤติซ้อนวิกฤติ ที่กำลังเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยและคนไทยในเวลานี้ สำหรับแนวทางการแก้ไขนั้น รัฐบาลสามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องออกกฎหมายเพิ่ม ดังนี้หนึ่ง–การบังคับใช้กฎหมายและการตรวจสอบที่เข้มงวด ใน 3 ด้านดังนี้ 1.ป้องกันการสวมสิทธิสินค้าเพื่อใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออก มีตัวอย่างข้อมูลปี 2565 ที่พบว่า 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ส่งออกแผงวงจรแสงอาทิตย์ (Solar Cell) จากไทย มีการนำเข้าวัตถุดิบ 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ใกล้เคียงกับมูลค่าส่งออกโซลาร์เซลล์ของบริษัท 2.ตรวจสอบสินค้าผ่านด่าน ข้อมูลจากกรมศุลกากรพบว่า ปี 2567 สินค้าที่นำเข้าผ่านด่านอีสานทั้งหมดเติบโตกว่า 10% และเกือบ 60% เป็นสินค้าที่มาจากจีน 3.การตรวจมาตรฐานสินค้า ให้เป็นไปตามมาตรฐาน มอก. และป้องกันการใช้ มอก.ปลอมสอง–เร่งรัดกระบวนการไต่สวนข้อพิพาทกับต่างประเทศ เรื่องสินค้าที่เข้ามาทุ่มตลาดในไทย เช่น การสนับสนุนจากรัฐบาลประเทศต้นทาง การส่งผ่านประเทศที่ 3 เป็นต้นสาม–กำหนดให้ platform online ที่เข้ามาขายสินค้าในไทย ต้องจัดตั้งสำนักงานในไทย เพื่อตรวจสอบมาตรฐานสินค้า และชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในไทย มูลค่าตลาด e–Marketplace ในไทยปี 2567 สูงถึง 1.8 ล้านล้านบาท โดยมี Shopee ครองส่วนแบ่งมากที่สุด 40.9% รองมา Lazada 34.9% TikTok 24.1% แต่รายได้ 1.8 ล้านล้านบาท กลับไม่ได้อยู่เมืองไทย ไม่ได้เสียภาษีให้ไทย ไปเข้าบริษัทแม่ที่เมืองนอกหมด ถึงเวลาที่รัฐบาลไทยต้องลุกขึ้นมาเอาจริงเรื่องนี้เสียทีครับ จะได้เงินภาษีเพิ่มขึ้นอีกเยอะและจีดีพีก็เพิ่มขึ้นด้วย.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม