ในยุคสงครามการค้า ที่เกิดจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เศรษฐกิจโลก ปั่นป่วนไปหมดที่การค้าการลงทุนค่าเงิน ตลาดหลักทรัพย์ ทองคำ ไปจนถึงเงินดิจิทัล แค่ขยับขึ้น อัตราภาษีนำเข้า หรือ มาตรการภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) อ้างเป็นการแก้ปัญหาการขาดดุล การค้าของสหรัฐฯจากประเทศอื่นๆ การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น 10-30% และเพิ่มขึ้นถึง 200% สำหรับประเทศที่ต่อต้านการขึ้นภาษี ทรัมป์ โดยมีเงื่อนไขว่าให้เวลาต่อรองเจรจาภายใน 90 วันก่อนจะบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยมีการนำร่องในการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม 10% ทันที เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ยิงนกด้วยกระสุนนัดเดียวจริงๆประเทศคู่แข่งและคู่ค้า ที่เดือดร้อนมากที่สุดน่าจะเป็น จีน ก่อนหน้านี้สินค้าราคาถูก เทคโนโลยี รถยนต์ไฟฟ้า เข้าไปตีตลาดสหรัฐฯจนรัฐบาลต้องยื่นมือเข้ามาแทรกแซงโดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง การเปิดสงครามการค้าของสหรัฐฯรอบนี้เป้าหมายคือ จีน ผลพลอยได้คือ ประเทศอื่นๆทั่วโลกที่เป็นคู่ค้ากับ สหรัฐฯ ในขณะนี้ผลพ่วงที่ตามมามีทั้งบวกและลบ ทั้งบทบาทผู้นำของสหรัฐฯและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ต้องยอมรับว่า แม้จะต้องหยิกเล็บเจ็บเนื้อบ้าง แต่ทรัมป์ก็เล่นเป็น การจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจ ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯลดลง ราคาสินค้าแพงขึ้นคะแนนนิยมของทรัมป์ลดลง คนอเมริกันส่วนใหญ่หันมาจับตาว่า ทรัมป์กำลังทำบ้าอะไรอยู่ รวมทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯเกิดความลังเลว่าธุรกิจของสหรัฐฯ ยังมั่นคงอยู่หรือไม่แต่เกือบทุกประเทศทั่วโลก ผู้นำโลก ถนนทุกสายวิ่งเข้าหาทรัมป์ รมว.คลังสหรัฐฯ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ แค่ได้จับไม้จับมือก็ยังดี แม้แต่ผู้นำจีน สี จิ้นผิง ก็ยังอยู่ไม่ติด ต้องเดินสายปักหมุดพันธมิตรทางการค้าและความมั่นคงในทุกภูมิภาค ถ้าจะเปรียบเทียบกับสงครามโลกแล้วให้ผลลัพธ์ทันทีทันใดโดยไม่ต้อง ลงทุนลงแรง หรือสงครามระหว่างยูเครน-รัสเซีย สงครามอิสราเอลกับฮามาส สงครามอินเดีย-ปากีสถาน รบกันสนั่น แต่ทั่วโลกไม่ได้เกิดอาการสั่นไหวเท่ากับสงครามการค้าโลกในรอบนี้นักวิเคราะห์มองว่า ตะกร้าเงินดอลลาร์จะมีความอ่อนไหว ทั่วโลกหันไปกักตุนทองคำ และเงินหยวนมากขึ้น ซึ่งเป็นการมองในระยะสั้นๆตามความเชื่อว่า สหรัฐฯจะแพ้สงครามการค้าให้กับจีน แต่สิ่งบ่งชี้ถึงความสำเร็จอย่างหนึ่งคือ อเมริกาต้องมาก่อน ที่ ทรัมป์ ประกาศเป็นนโยบายหลักในการหาเสียง วันนี้คุณทำได้แล้ว มีผู้นำประเทศไหนบ้างที่ไม่อยากเจอ ทรัมป์ แม้แต่ผู้นำจีนเองก็เถอะ แค่ทรัมป์บอกว่ายอมไปเจอผู้นำจีนที่ปักกิ่งก็จบแล้วจนถึงบัดนี้ แต่ละประเทศยังวิ่งขอคิวเจรจาการค้ากับสหรัฐฯที่มีค่ายิ่งกว่าทอง ในอาเซียนยังไม่มีวี่แววว่าจะได้คิวเมื่อไหร่อยู่ 3 ประเทศ สปป.ลาว เมียนมา และไทย ประเทศไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ อันดับ 1 สัดส่วน 18% ของการส่งออกทั้งหมดก่อนถึงเส้นตาย สหรัฐฯเดินสายเก็บผลประโยชน์ทั้งความมั่งคั่งและมั่นคง เราต้องกลับมาตั้งหลักกันใหม่ วันนี้ความมั่นคงของเราอยู่ตรงไหน การเมือง เศรษฐกิจเราไม่มีทั้งความมั่งคั่งและมั่นคงที่จะไปต่อรองใครได้.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.thคลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม