มาอีกเพียบ งบปรับปรุงอาคารรัฐสภา พรรคประชาชนแฉเพิ่มจ้องถลุงอีก 100 ล้านบาท ชงงบจิตรกรรมฝาผนังหลังบัลลังก์ประธานสภาฯ แต่ถูกตัดทิ้งก่อน จับพิรุธผลาญงบค่าออกแบบที่จอดรถหลักร้อยล้านบาท จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย แต่ยังสร้างไม่ได้ เพราะยังไม่ได้งบก่อสร้าง รองประธานสภาผู้แทนราษฎรแจงจำเป็นต้องเนรมิตปรับปรุงสภาใหม่ อำนวยความสะดวกให้ประชาชนมาใช้ประโยชน์พื้นที่รัฐสภาได้ทุกส่วน ฝั่งเพื่อไทยเสียงแตก ประธานวิปรัฐบาลหนุนตัดงบไม่เกี่ยวการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ “อดิศร” สวนอย่าขวางการพัฒนารัฐสภาไปในทางที่ดี พลังประชารัฐเฉ่งนายกฯหยุดขายฝันเกินจริง โปรโมตเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ แนะเร่งแก้ปัญหาปากท้องก่อน “สรวงศ์” โอ่ชาวบ้านหนุนเพียบ บลัฟคนต้านกาสิโนมีไม่ถึง 10%หลังจากที่ฝ่ายค้านออกมาตั้งข้อสังเกตการของบประมาณปรับปรุงพื้นที่อาคารรัฐสภาหลาย รายการวงเงินหลายร้อยล้านบาท ในรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่มีความฟุ่มเฟือย ไม่เหมาะสม ล่าสุดนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงถึงความจำเป็นต้องดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ เพื่อรองรับประชาชนให้เข้ามาใช้ประโยชน์ในทุกพื้นที่ของสภาได้อย่างเต็มที่“ภราดร” แจงจำเป็นเนรมิตรัฐสภาเมื่อวันที่ 5 พ.ค. เวลา 10.00 น. นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ปรับปรุงพื้นที่อาคารรัฐสภาหลายรายการวงเงินเกือบพันล้านบาท จนถูกวิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการใช้งบประมาณว่า เป็นการดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนที่สภาต้องใช้ประโยชน์ ถือเป็นความจำเป็นต้องดำเนินการ เพื่อให้ประชาชนเข้ามาใช้ประโยชน์พื้นที่ทุกส่วนของสภาได้เต็มที่ ทั้งสวนสาธารณะ ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ เครื่องยอดชั้น 11 ของรัฐสภาที่เมื่อก่อนไม่ได้เปิดให้ประชาชนเข้ารับชมภายใน จึงเป็นที่มาโครงการปรับปรุงรีโนเวทอาคารรัฐสภา ในงบประมาณรายจ่ายปี 2569 จำนวน 7 โครงการ รวม 875 ล้านบาท อาทิ โครงการปรับปรุงพิพิธภัณฑ์รัฐสภา วงเงิน 120 ล้านบาท เพื่อให้ทราบความเป็นมาของรัฐสภา ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และมองไปยังอนาคต หรือโครงการ ปรับปรุงระบบเสียงห้องสัมมนา 1,500 ที่นั่ง 99 ล้านบาท จากปัจจุบันเป็นห้องโล่งว่างเปล่า จะปรับเป็นห้องสัมมนาใหญ่ ไม่ต้องไปเช่าโรงแรมสัมมนาพร้อมฟังความเห็นเปิดทางปรับลดนายภราดรกล่าวว่า ส่วนงบประมาณปรับปรุงศาลาแก้ว วงเงิน 123 ล้านบาทนั้น ตามแบบแปลนเดิมจะออกแบบให้เป็นเหมือนมุกหน้าบ้านเรือนไทย แต่ในทางปฏิบัติปรากฏว่า ศาลาแก้วไม่ค่อยถูกนำไปใช้งาน เพราะภายในศาลาอากาศร้อนมาก จึงต้องการปรับปรุงแต่จะติดแอร์เพิ่มหรือไม่ ยังไม่ทราบ อย่างไรก็ตาม โครงการต่างๆอยู่ระหว่างจัดทำคำขอ เพื่อตั้งงบประมาณปี 2569 แต่หากสังคมวิจารณ์ เชื่อว่า เมื่อ สส.ได้รับฟังคำวิจารณ์แล้ว คงมีอำนาจตัดลดงบในชั้น กมธ.วิสามัญ ต้องไปคุยใน กมธ.ว่า ส่วนใดมีความสำคัญมากน้อยเพียงใดพท.จ้องตัดงบไม่กระตุ้น ศก.นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงความพร้อมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ว่า คาดว่าจะใช้เวลา 3 วัน แบ่งเวลาให้ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายละ 20 ชั่วโมง และประธานที่ประชุม 1 ชั่วโมง ในวันที่ 13 พ.ค. จะประชุม สส.เพื่อไทย พิจารณางบประมาณดูอะไรที่จำเป็นหรือไม่จำเป็น ส่วนที่พรรคประชาชนเตรียมตัดงบประมาณปรับปรุงอาคารรัฐสภานั้น อะไรที่จำเป็นก็ต้องทำ ไม่จำเป็นก็ไม่ควรทำ ขณะนี้ควรกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนที่เป็นความเดือดร้อนประชาชน ไม่ใช่เฉพาะฝ่ายค้านอย่างเดียว แต่ฝ่ายรัฐบาลต้องตรวจสอบด้วยว่า สิ่งที่หน่วยงานต่างๆเสนอมาแล้วไม่เป็นประโยชน์ ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องช่วยกันตัด เมื่อถามว่าการประชุม สส.เพื่อไทยวันที่ 13 พ.ค.จะพูดคุยเรื่องการปรับ ครม.หรือไม่ นายวิสุทธิ์ตอบว่า ไม่มี เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรีคนเดียว“อดิศร” สวนอย่าขวางการพัฒนานายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการเสนอของบประมาณเพื่อปรับปรุงพื้นที่รัฐสภาที่หลายฝ่ายตำหนิใช้งบประมาณฟุ่มเฟือยว่า ควรสนับสนุนให้รัฐสภาพัฒนาไปในทางที่ดี เชื่อว่ามีการทุจริตยากมาก ที่ผ่านมาฝ่ายนิติบัญญัติได้รับงบน้อยมาก เมื่อเทียบกับฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ เรื่องความเหมาะสมการเสนอของบปรับปรุงพื้นที่รัฐสภาในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง ควรให้สภาตัดสินพิจารณาในรายละเอียด ขอให้ทุกฝ่ายมองในแง่ดี อย่าขัดขวางงบนิติบัญญัติที่เป็นตัวแทนทุกฝ่าย ส่วนที่มองว่าควรเอางบไปแก้ปัญหาให้ประชาชนก่อนนั้น การแก้ปัญหามีกระทรวง และรัฐบาลที่ทำโครงการชัดเจน แต่สภาฯต้องให้ความสะดวกกับประชาชน มีน้ำให้ดื่ม มีห้องให้นั่ง ปัจจุบันไม่มีน้ำให้ดื่ม ไม่มีที่รองรับประชาชน หากการปรับปรุงเป็นประโยชน์กับประชาชน ขอถามว่าจะเปลืองอะไรเมินฝ่ายค้านไล่ทบทวนงบปี 69นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) เรียกร้องให้รัฐบาลดึงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ไปทบทวนว่า ฝ่ายค้านมีสิทธิเสนอได้ แต่การจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2569 รัฐบาลไม่ได้ทำเพียงฝ่ายเดียว สำนักงบประมาณและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นเจ้าภาพหลักดำเนินการ ต้องเชื่อมั่นหน่วยงานที่ดำเนินการด้วย การบริหารจัดการงบประมาณมีระเบียบวิธีปฏิบัติเป็นหลักอยู่แล้ว รัฐบาลต้องทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนในการบริหารงบประมาณ ขอให้สบายใจได้ จะเสนออะไรก็ได้ แต่เมื่อเสนอแล้วต้องฟังทุกภาคส่วนที่ร่วมด้วยช่วยทำ ไม่ได้แปลว่ารัฐบาลกำหนดทิศทางฝ่ายเดียว ต้องฟังสำนักงบประมาณเป็นหลักด้วยรทสช.เตือนให้ใช้จ่ายสมเหตุผลนายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ในส่วนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท ที่เพิ่มขึ้นจากงบรายจ่ายปี 2568 จำนวน 27,900 ล้านบาทนั้น ขอฝากให้ สส.ร่วมกันพิจารณาอย่างเต็มที่ทั้งในวาระแรก และชั้น กมธ. ให้การใช้จ่ายเป็นไปอย่างสมเหตุผล คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนที่รัฐสภาของบฯเพิ่มเติมปรับปรุงศาลาแก้ว 123 ล้านบาท รวมถึงการปรับปรุงห้องสารนิเทศ เป็นเหมือนโรงภาพยนตร์ 4D มูลค่า 180 ล้านบาท จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักนั้น การปรับปรุงทำได้ หากสมาชิกรัฐสภามองว่ายังไม่เหมาะสมก็เสนอพิจารณาปรับลดงบให้อยู่ในความเหมาะสมได้เช่นกัน ขอให้การใช้จ่ายงบฯแผ่นดินเป็นไปอย่างโปร่งใสถลุงงบจิตรกรรมฝาผนัง 100 ล้านนายภัณฑิล น่วมเจิม สส. กทม. พรรคประชาชน กล่าวถึงการตรวจสอบการของบประมาณปรับปรุงพื้นที่ต่างๆของรัฐสภาหลายรายการ มูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท ว่า จากการตรวจสอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2569 มีข้อสงสัยการของบของหน่วยงานเยอะมาก ไม่รวมพวกปลีกย่อย เจตนาเขียนโครงการแต่ละอย่างดูไม่ค่อยดี แปรงบเข้าตัวเอง แม้เป็นเพียงแค่คำขอ แต่ต้องขอดักไว้ก่อน เช่น จิตรกรรมฝาผนังตรงหลังบัลลังก์ประธานสภาฯ ใช้งบหลัก 100 ล้านบาท แต่โชคดีไม่ได้รับการจัดสรร อันนี้น่ากลัว นอกจากนี้ยังมีระบบไอทีต่างๆ ระบบพวกนี้เยอะมากและซ้ำซ้อนกัน และยังมีระบบการเรียนรู้ต่างๆมาเป็น สส.ไม่เคยใช้ระบบเหล่านี้ของรัฐสภาต้องรอติดตามเรื่องนี้ต่อไป และให้ความเป็นธรรมฝ่ายเจ้าหน้าที่ด้วย ได้ขอรายละเอียดไปให้ชี้แจงการใช้ประโยชน์พื้นที่ทั้งหมด อย่างเรื่องงบทำพิพิธภัณฑ์รัฐสภา 120 ล้านบาท มีการทำไว้แล้วบางส่วน แต่ยังไม่เสร็จ แต่ยังมาขอเพิ่ม ทั้งที่ไม่มีคนใช้เลย เป็นสุสานอยู่ใต้สภาฯ เมื่อไม่มีคนใช้ แต่จะถมเงินเข้าไปเพิ่ม ทำแบบเดิม แต่คาดหวังผลใหม่ มันเป็นไปไม่ได้ เสียเงินไปเป็นร้อยล้านบาทแล้วผลาญอีกค่าออกแบบที่จอดรถนายภัณฑิลกล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีงบประมาณเรื่องที่จอดรถในสภาฯที่มีไม่เพียงพอ จึงต้องการสร้างที่จอดรถเพิ่มบริเวณใต้ดิน และสนามหญ้าหน้าอาคารรัฐสภาจากปัจจุบันจอดได้ 2-3 พันคัน ผ่านมติ ครม.ไปแล้ว งบประมาณ 4,000 ล้านบาท แต่ยังระงับไว้อยู่ โดยจะใช้วิธีเจาะใต้ดินใหม่ยังไม่ได้เห็นแบบ แต่ทราบว่ามีการประกวดทีโออาร์เพื่อออกแบบก่อสร้างแล้ว ค่าออกแบบก่อสร้างนี้ใช้งบเป็นร้อยล้านบาท เป็นเรื่องน่าตกใจ เพราะงบยังไม่ถูกอนุมัติ แต่เอางบจากเงินตกเบิก หรืองบกลางฝ่ายนิติบัญญัติ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร มาออกแบบ เป็นงบที่ไม่ต้องผ่านสภาฯ สุดท้ายเมื่อออกแบบเสร็จแล้วยังไม่ได้ทำก็ผลาญเงินทิ้งไป ถ้ายังไม่มีงบที่จะสร้างจะไปเสียเงินออกแบบทำไม เป็นเรื่องประหลาด ส่วนที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาของบให้ สว.เรียนภาษาจีนเพิ่มเติม 2.3 ล้านบาทนั้น ยังเป็นเพียงแค่คำของบแต่ไม่ผ่าน ไม่ได้รับการจัดสรร แต่แปลกที่กล้าขอ บางทีต้องรู้ว่าไม่ควรขอ แต่เราดักทางไว้ งบแบบนี้ในอนาคตไม่ควรผ่านไม่กังวลปม “ทักษิณ” ชั้น 14นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตั้งองค์คณะไต่สวนการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีการพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจว่า เชื่อว่าฝ่ายกฎหมายนายทักษิณคงชี้แจงได้ ในพรรคไม่ได้คุยเรื่องนี้ ไม่มีใครกังวล และพรรคเพื่อไทยไม่ได้คุยนอกรอบเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องนายทักษิณที่มีทีมกฎหมายอย่าแช่แข็ง ปท.รอ “พิธา” คัมแบ็กนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ปราศรัยช่วยผู้สมัครนายกเทศมนตรีเทศบาลนครขอนแก่น ประกาศอีก 9 ปีจะกลับมาเป็นนายกฯที่ดีที่สุดของประเทศไทยว่า ต้องประกาศอย่างนี้อยู่แล้ว แต่ไปย้อนดูสิ่งที่ประกาศไว้มีกี่อันทำได้จริง การบอกอีก 9 ปีจะกลับมาเป็นนายกฯต้องดูข้อเท็จจริงจะกลับมาได้หรือไม่ มูลเหตุความผิดที่ถูกตัดสิทธิการเมือง 10 ปี สามารถกลับมาได้หรือไม่ บางครั้งบนเวทีต้องพูดไป ประชาชนต้องพิเคราะห์ด้วยว่า กลับมาได้จริงหรือไม่ ย้อนไปดูพฤติกรรมอื่นๆที่ประกาศก่อนหน้านี้ ทำได้จริงหรือไม่ การเมืองแต่ละช่วงสถานการณ์มีพัฒนาการ บอกอีก 9 ปีจะกลับมา ฟังแล้วเหมือนแช่แข็งประเทศเพื่อรอใครบางคน สถานการณ์การเมืองต้องพัฒนาไป การแก้ปัญหาก็ต้องเดินหน้าไป ถึงวันนั้นสถานการณ์การเมืองอาจไม่ได้เป็นแบบในอดีต จากวันเลือกตั้งปี 2566 ถึงปัจจุบันการเมืองไทยเปลี่ยนไปมาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พยายามขับเคลื่อนแก้ปัญหา เมื่อ น.ส.แพทองธารอยู่ครบวาระ 4 ปี ถึงวันนั้นสถานการณ์การเมืองอาจเปลี่ยนไปได้บลัฟคนต้าน ก.ม.กาสิโนไม่ถึง 10%นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงความคืบหน้าการให้ สส.ลงพื้นที่ทำความเข้าใจประชาชนเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ว่า จากการลงพื้นที่ของ สส.พบว่า ส่วนมากประชาชนไม่มีปัญหา ไม่มีอะไรที่ไม่เข้าใจ สิ่งหนึ่งที่น่าจะทำคือมีเวทีทำความเข้าใจมากขึ้น พูดถึงข้อดีข้อเสียด้วยเหตุผล ไม่ใช่ให้ต่างฝ่ายต่างมีธงมาชนกัน ไม่มีประโยชน์จะพูดคุย ประเทศไทยเสียโอกาสไปกับเรื่องแบบนี้เยอะมาก อย่าปิดกั้นโอกาสประเทศไทยอีกเลย เราสู้เขาไม่ได้แล้ว ประเทศ เพื่อนบ้าน ประเทศที่เป็นอิสลามก็มีกัน แต่ห้ามคนของเขาเข้า เราก็ห้ามคนของเราเข้าได้ เวทีรับฟังความเห็นอยากให้คนกลางหรือนักวิชาการจัด หากให้รัฐบาลเป็นเจ้าภาพจะถูกมองมีธง แต่ต้องมีนักวิชาการที่เป็นกลางไม่อยู่ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ให้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนกันจริงๆ รับประกันได้คนที่ต่อต้านมีไม่ถึง 10% ที่ได้อ่านกฎหมายพปชร.เฉ่งหยุดขายฝันเกินจริงนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีนายกรัฐมนตรีโปรโมตนโยบายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” ว่า เป็นการขายฝันและโฆษณาเกินจริง เรื่องที่บอกแหล่งเงินสร้างกาสิโนจะมาจากเอกชนต่างชาตินั้น เพราะรัฐบาลไม่สามารถเอาเงินของประชาชนไปสร้างกาสิโนได้อยู่แล้ว ส่วนที่อ้างสามารถเช็กประวัติและทรัพย์สินของคนทุกๆชาติที่จะเข้ามาเล่นพนันได้นั้น เป็นการโฆษณาเกินจริง นายกฯควรเน้นแก้ปัญหาเศรษฐกิจแทนขายฝันกาสิโน เพราะขณะนี้ฐานะประชาชนกรอบไปหมดแล้ว ควรเน้นแก้ปัญหาปากท้องที่เร่งด่วนกว่า เน้นรื้อโครงสร้างธุรกิจผูกขาด เพื่อคืน กำไรให้ประชาชนผู้บริโภค เปิดที่ยืนให้พ่อค้ารายย่อยมากขึ้นจะดีกว่า“เรืองไกร” ชง กกต.สอย “พีระพันธุ์”นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ได้ส่งหนังสือผ่านไปรษณีย์อีเอ็มเอส ถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ว่ามีเหตุความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (5) หรือไม่ กรณีที่ยังคงสถานะความเป็นกรรมการบริษัทระหว่างเป็นรัฐมนตรี เข้าข่ายเป็นลูกจ้างบุคคลใด ที่อาจทำให้คุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง จากการตรวจสอบข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า หลังจากนายพีระพันธุ์ได้รับโปรดเกล้าฯเป็นรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ในวันที่ 3 ก.ย.2567 ยังคงสถานะเป็นกรรมการบริษัท 3 แห่ง เห็นได้จากการจดแจ้งชื่อนายพีระพันธุ์ออกจากการเป็นกรรมการบริษัท โสภา คอลเล็กชั่นส์ จำกัด และบริษัท วีพี แอโร่เทค จำกัด เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2567 และหนังสือรับรองของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า วันที่ 1 พ.ค.2568 ที่ระบุว่า นายพีระพันธุ์ยังคงเป็นกรรมการบริษัท รพีโสภาค จำกัด จึงมีเหตุอันควรให้ กกต.พิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายพีระพันธุ์เข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่โอ่โพลยก 30 บาทผลงานโบแดงนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อการบริหารงานของรัฐบาล ครบ 6 เดือน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ว่า ผลสำรวจพบว่าประชาชนพึงพอใจนโยบาย มาตรการ โครงการรัฐบาล 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ร้อยละ 71.6 2.โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเงินหมื่น ร้อยละ 55.8 3.กฎหมายสมรสเท่าเทียม ร้อยละ 41.3 4.การลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า-พลังงานแก่ประชาชน ร้อยละ 32.6 5. การส่งเสริมการท่องเที่ยว ร้อยละ 30.3 ขณะที่การให้บริการภาครัฐที่ประชาชนพึงพอใจ 5 อันดับแรก ได้แก่ ไฟฟ้า ร้อยละ 66 น้ำประปา ร้อยละ 59.7 ถนน ร้อยละ 55.1 การบริการสาธารณสุข ร้อยละ 52.2 และการจัดเก็บขยะมูลฝอย ร้อยละ 46.4 ส่วนเรื่องที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือเร่งด่วน ได้แก่ การควบคุมราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค ร้อยละ 86.7 ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา น้ำมันเชื้อเพลิง อยากให้ทำต่อเนื่อง ร้อยละ 67.5 การแก้ปัญหายาเสพติด ร้อยละ 43.0 แก้ปัญหาหนี้สิน ร้อยละ 35.5 และเพิ่มสวัสดิการ เช่น เงินผู้มีรายได้น้อย การรักษาพยาบาล ร้อยละ 30.3ปลื้ม 6 เดือนทำผลงานเข้าเป้าน.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข ขับเคลื่อนงานตามนโยบายนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข มีผลงานโดดเด่นทำให้ประชาชนพอใจ โดยยกระดับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทุกระดับ ทำให้การบริการสาธารณสุขมีประสิทธิภาพ ซึ่ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่มอบหมาย และติดตามงานได้ให้กำลังใจอยู่เสมอ มีเป้าหมายทำให้คนไทยมีสุขภาพดีถ้วนหน้าให้เป็นจริง นอกจากนี้ยังมีนโยบายเร่งเชิญชวนประชาชนนับคาร์บ วางแผน การกินคาร์โบไฮเดรตให้ได้ 50 ล้านคน ภายในเดือน ก.ย.นี้ เพื่อลดจำนวนผู้ป่วย เมื่อลดจำนวนคนป่วยได้ ภาระแพทย์จะลดลง งบรักษาผู้ป่วยก็จะลดลง แก้ปัญหาได้ทั้งระบบ ทำให้พัฒนาระบบสาธารณสุขที่ดีให้คนไทยถ้วนหน้าดีเอสไอส่ง กกต.ฟันฮั้วเลือก สว.ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการสอบสวนคดีฮั้วเลือก สว. ในฐานความผิดฟอกเงิน ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษว่า หลังจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สอบปากคำพยานสำคัญร่วมกับ กกต. มากกว่า 30 ราย รวมถึงวิเคราะห์ข้อมูลจากการรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวของคณะบุคคล การตรวจสอบเส้นทางการเงินที่สะพัดไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท เมื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์แล้ว พบการกระทำเข้าข่ายมีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่ไม่ได้เป็นไปด้วยสุจริตเที่ยงธรรม มีการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 จึงส่งหลักฐานและข้อมูลทั้งหมดให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกอบการพิจารณาตามกฎหมายเลือกตั้ง เพื่อพิจารณาเพิกถอนสิทธิ สว. หากมี สว.รายใดที่ กกต.ตรวจสอบแล้วเห็นว่า กระทำผิดจริง จะให้ กกต.เป็นผู้พิจารณาร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวน ขณะที่เรื่องการดำรงตำแหน่ง สว. ก็ให้ กกต.ส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คาดว่าการดำเนินการของ กกต.อาจอยู่ในช่วงสัปดาห์หน้าคาดแจ้งข้อหาภายในเดือน พ.ค.ผู้สื่อข่าวรายงาว่า ส่วนเรื่องคดีอาญาที่ดีเอสไอรับผิดชอบคือ ความผิดฐานฟอกเงินและอั้งยี่ ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อจำแนกกลุ่มคนว่า ใครมีพฤติการณ์จับกลุ่ม ตั้งเป็นคณะบุคคลอย่างไรบ้าง โดยการดำเนินคดีแจ้งความผิดฟอกเงินและอั้งยี่ มีความเป็นไปได้ว่า บางคนอาจมีความผิดทั้ง 2 ข้อกล่าวหา บางคนอาจมีความผิดแค่ฐานเดียว คาดว่ากรอบการดำเนินการจะอยู่ในเดือน พ.ค.เช่นกัน เพราะพยานหลักฐานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชุดที่ดีเอสไอไปร่วมเป็นคณะอนุกรรมการ กับ กกต. หรือดีเอสไอเป็นหัวเรือหลักในคดีอาญาสามารถใช้พยานหลักฐานชุดเดียวกันพิจารณาได้ หาก กกต.พบ สว.มีพฤติการณ์การได้มา ซึ่ง สว.ไม่สุจริตจริง สว. 138 ราย และสำรอง 2 ราย จะถูก กกต.แจ้งดำเนินคดี มีความเป็นไปได้ว่า สว.เหล่านี้จะมีความผิดคดีอาญาของดีเอสไอเช่นกัน ต้องพิจารณาทั้งความผิดฐานฟอกเงินและฐานอั้งยี่ โดยเฉพาะความผิดฐานฟอกเงินต้องดูว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องในเส้นทางการเงินกี่บาท มีการจ่ายรับโอนช่วงวันเวลาใด เพราะความผิดฐานฟอกเงินพิจารณาเป็นรายกรรม อีกทั้งการฮั้วเกิดขึ้นได้ 2 รูปแบบ คือฮั้วแบบใช้เงินและไม่ใช้เงิน ไม่ว่าจะฮั้วรูปแบบใดหากเป็นหนึ่งในขบวนการย่อมมีความผิดอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่