ผมต้องขอขอบคุณองค์กรระดับโลก และระดับประเทศไทยของเราเอง หลายต่อหลายองค์กรที่ออกมาส่งสัญญาณ “เตือนภัย” เป็นระยะๆว่าประเทศไทยของเรากำลังจะเจอ “พายุเศรษฐกิจ” ลูกใหญ่และน่าวิตกอย่างยิ่งลูกหนึ่งในปีนี้เริ่มจาก ไอเอ็มเอฟ หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ที่ออกมาแถลงก่อนใครทั้งหมดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 นี้ จะขยายตัวเพียง 1.8 เปอร์เซ็นต์ จากที่เคยคาดไว้ 2.9 เปอร์เซ็นต์ต่อมา ธนาคารโลก ก็ออกมาบอกว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวแค่ 1.6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จากที่เคยคาดไว้ 2.9 เปอร์เซ็นต์จากนั้นบริษัทจัดอันดับเครดิตระดับโลก มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ก็เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเครดิตเรตติ้งของประเทศไทยปรับลดแนวโน้มจากระดับ “มีเสถียรภาพ” สู่ระดับ “เชิงลบ” แบบเตือนล่วงหน้าไว้ แม้จะยังไม่ถึงกับปรับลดเครดิตจริงๆลงมาก็ตามธนาคารต่างๆในประเทศไทยก็ดูเหมือนจะปรับลดฮวบฮาบเช่นกัน จะมีก็แต่ของกระทรวงการคลังเท่านั้นที่บอกว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายถึงร้อยละ 2.1 สูงกว่าใครเพื่อน แต่นั่นก็ปรับลดลงจากร้อยละ 3 ที่เคยคาดไว้อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าโฆษกรัฐบาลและท่านรัฐมนตรีพาณิชย์ออกมาตัดพ้อเชิงต่อล้อต่อเถียงการประเมินของมูดีส์อยู่หน่อยๆ ทำนองว่ามูดีส์สรุปเร็วเกินไป น่าจะรอดูการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับประธานาธิบดีทรัมป์เสียก่อนสำหรับผม ไม่มีข้อสงสัยใดๆในการพยากรณ์ของทุกสำนัก ซึ่งออกมาในแนวเดียวกันสูงบ้างต่ำบ้าง แต่ “แนวโน้ม” หรือ “เทรนด์” เหมือนกันหมดว่าไทยเราจะต้องเจอศึกหนักแน่นอนนอกจากจะน้อมรับฟังแล้ว ผมยังเตรียมตัวเตรียมใจที่จะเผชิญกับ “พายุใหญ่” ลูกนี้เหมือนเวลาขึ้นเครื่องบินแล้วได้ยินเสียงกัปตันประกาศให้เรารีบกลับเข้าประจำที่นั่งแล้วรัดเข็มขัดให้แน่น เนื่องจากเครื่องบินกำลังจะฝ่า “พายุลูกใหญ่” ที่รอเราอยู่ข้างหน้านั่นแหละผมเป็นคนรุ่นเก่าที่ยังเชื่อถือในวัฒนธรรมประเพณีเก่าๆของปู่ย่าตายายเวลาจะเผชิญเหตุการณ์ใดก็จะประนมมือสวดมนต์อธิษฐานขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยคุ้มครองป้องกันเอาไว้ก่อนแม้จะตระหนักดีว่าหากจะเคราะห์หามยามร้ายจริงๆละก็ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใดจะช่วยเราได้...แต่ก็ขอให้ท่านช่วยเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็เพื่อเป็นการตั้งสติมิให้ตระหนกตกใจจนเกินควรเมื่อประนมมือขอพรแล้วผมก็นึกถึงคำเตือนของครูบาอาจารย์ด้านเศรษฐกิจที่เคยสอนผมสมัยเรียนปี 1 ว่าเวลาเศรษฐกิจถดถอยจนเกิดความผันผวนขึ้นแล้วเราควรจะทำอย่างไรบ้างข้อแรกที่อาจารย์สอนนักสอนหนาก็คือต้อง “ยึดงาน” หรือ “กอดงาน” เอาไว้แน่นๆ คือพยายามอย่าให้ตกงาน มีงานอะไรทำให้ทำเอาไว้ก่อน มีเงินเดือนมีรายได้บ้างจะดีกว่าไม่มีอะไรเลยข้อสองก็คือ ประหยัด สุดขีด ยุติความ ฟุ่มเฟือย เพื่อเหลือเงินเก็บหรือเงินออมให้มากที่สุดในช่วงนี้ข้อสาม พยายามเก็บ “เงินสด” เอาไว้บ้าง ไม่มากเกินไป แต่ก็อย่าน้อยเกินไป เพราะสถานการณ์เช่นนี้ เงินสดจะสำคัญกว่าบัตรเครดิต หรือสำคัญกว่าเงินออนไลน์เงินดิจิทัลอย่างแน่นอนข้อสี่ อย่าคิดสั้น...หมายถึงอย่าท้อแท้สิ้นหวังจนถึงขั้นทำร้ายหรือทำลายตัวเอง จะเป็นหนี้เป็นสิน จะล้มละลายอย่างไรก็ขอให้สู้ชีวิตเต็มที่เอาไว้ก่อนผมก็สมมติ “ฉากทัศน์” (ขอยืมคำโก้ๆมาใช้หน่อย) ในแง่ร้ายสุดๆเอาไว้ก่อน...แต่คิดว่าจริงๆแล้วคงไม่ร้ายถึงเพียงนี้หรอกข้อดีของการมองอะไรแบบร้ายสุดๆ และพยายามฝึกฝนตัวเองเพื่อรับความร้ายกาจที่จะเกิดขึ้น...ก็คือ...เราจะมี “สติ” อยู่เสมอ และจะเจ็บน้อยกว่าคนอื่นเสมอๆถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ."ซูม"คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม