นับตั้งแต่ ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีตอบโต้ไทยเป็น 36% เมื่อบ่ายวันที่ 2 เมษายน คนไทยยังไม่เคยได้ยิน นายกฯไทย แถลงอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเหมือน นายกฯ สิงคโปร์ นายกฯมาเลเซีย เลย มีเพียงแถลงการณ์วันอาทิตย์ฉบับเดียว คุณพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีพาณิชย์ ซึ่งรับผิดชอบโดยตรง ก็หายหน้าเข้ากลีบเมฆไปเลย จากที่เคยยืนยิ้มแฉ่งถ่ายรูปกับนายกฯ แทบทุกครั้ง คนแรกที่ออกมาพูดเป็นน้ำเป็นเนื้อกลับเป็น ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒน์ ที่ปรึกษานายกฯ ในฐานะที่ปรึกษาคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯดร.ศุภวุฒิ ให้เหตุผลว่า ไทยยังไม่ควรรีบร้อนเจรจากับสหรัฐฯให้ลดภาษี เพื่อเก็บกระสุนไว้ต่อรอง เผื่อว่าสหรัฐฯจะถอยหรือเปลี่ยนนโยบาย พร้อมกับเปิดเผยถึงยุทธศาสตร์ที่จะใช้ต่อรอง เช่น ไทยควรนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯมากขึ้น โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และถั่วเหลืองที่เราผลิตไม่พอ ลดภาษีศุลกากรบางชนิดที่ลดได้ นำเข้าก๊าซธรรมชาติ เป็นต้นก็เป็นเหตุผลที่น่ารับฟัง แทนที่จะเงียบกริบกันทั้งรัฐบาล ปล่อยให้ประชาชนและนักธุรกิจว้าเหว่ไร้ที่พึ่ง จนต้องหันไปชื่นชมนายกฯสิงคโปร์ ที่ออกทีวีพูดกับประชาชนทันที เวียดนาม น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดี เวียดนามถูกสหรัฐฯขึ้นภาษีตอบโต้ 46% นายกฯเวียดนามรีบโทร.ไปหาผู้นำสหรัฐฯทันที เสนอยกเลิกภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯทั้งหมดเหลือ 0% แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาเหมือนถูกตบหน้า นายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นบีซีว่า การที่เวียดนามบอกเราว่าจะยกเลิกภาษีศุลกากรเหลือ 0% สิ่งนี้ไม่มีความหมายสำหรับเรา เพราะเรามองว่า การโกงโดยใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรต่างหากที่มีความสำคัญผมได้ตั้งข้อสังเกตตั้งแต่วันแรก 10 ประเทศที่ถูกสหรัฐฯตั้งกำแพงภาษีตอบโต้อย่างรุนแรง ล้วนเป็นประเทศที่ใกล้ชิดกับจีน เป็นฐานผลิตการส่งออกสินค้าจีนไปสหรัฐฯ วันนี้ที่ปรึกษาการค้าผู้นำสหรัฐฯพูดชัดเจนแล้ว สิ่งที่สหรัฐฯต้องการไม่ใช่การลดภาษีนำเข้า แต่ต้องการทำลายโรงงานจีนเป็นหลัก ไม่ว่าจะย้ายฐานผลิตไปประเทศไหนก็ตามประเทศไทยก็อยู่ในบัญชีนี้ คุณอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมได้ร่วมกับกรมศุลกากรสหรัฐฯติดตามเฝ้าระวัง อาจมีประเทศอื่นสวมสิทธิไทยเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยอ้างว่าผลิตจากไทย เพื่อหลบเลี่ยงภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD/CVD) เพราะสินค้าไทยจะไม่ถูกสหรัฐฯเก็บภาษีเอดี/ซีวีดี ผมเห็นข้อมูลที่ คุณอารดา เปิดเผยแล้วก็ตะลึง ไทยปล่อยให้ต่างชาติสวมสิทธิส่งออกไปสหรัฐฯมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ถ้ามีการตรวจเฝ้าระวังจริงๆไม่มีผลประโยชน์แฝงสินค้าที่ถูกเฝ้าระวัง สวมสิทธิไทยส่งออกไปสหรัฐฯมีถึง 49 รายการ เช่น ท่อเหล็ก ยางรถยนต์และรถบรรทุก พื้นไม้ ไม้อัด นอต ตะปู ลวดสปริง อะลูมิเนียมอัดขึ้นรูป เหล็กลวดคาร์บอนผสมโลหะ อะลูมิเนียมฟอยล์ ใบเลื่อยทุกชนิด ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องจักรและชิ้นส่วน แผงโซลาร์เซลล์ ล้อเหล็กสำหรับรถบรรทุก แผ่นหินเทียม กล้องดิจิทัล ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ประกอบตัวถังรถยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ ใยแก้ว กระปุกเกียร์ ฯลฯ รายได้ส่งออกก็ไม่ใช่ของไทยนายกฯแพทองธาร ชินวัตร ได้โพสต์ลง × หลังการประชุมติดตามภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯเป็นครั้งแรกว่า ได้มอบหมายให้ รองนายกฯพิชัย เป็นหัวหน้าคณะไปเจรจากับทางอเมริกา พร้อมด้วย รมต.พาณิชย์ มีการประสานนัดหมายเพื่อพูดคุยกับผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น USTR และหน่วยงานอื่นๆของอเมริกา เพื่อนำข้อเสนอของไทยไปพูดคุย สิ่งสำคัญที่สุดคือ การวางยุทธศาสตร์และมาตรการต่างๆ คือ ต้อง “รู้เขา” และ “รู้เรา” ยุทธศาสตร์และกระบวนการทำงานของรัฐบาลต้องทั้ง “เร็ว” และ “แม่นยำ” และย้ำว่า ได้ตั้งคณะทำงานมาตั้งแต่เดือนมกราคม อ่านโพสต์ของนายกฯแล้วก็รู้เลยว่า ทำไมนายกฯไม่กล้าแถลงเอง.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม