“แผ่นดินไหว...อาคารสูง 15 เมตร สร้างก่อนปี 2550 และอาคารทุกประเภทสร้างก่อนปี 2522...มีความเสี่ยงสูง...แตกร้าว ทรุดและพังลงมาได้...” อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Sonthi Kotchawat”“กรุงเทพฯ” ไม่ได้เกิด “แผ่นดินไหว”...แต่ได้รับความสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวบนบกจากรอยเลื่อนสะกายขนาด 8.2 ความลึก 10 กม. บริเวณประเทศเมียนมาทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของ อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ห่างประมาณ 326 กิโลเมตร ได้รับความรู้สึกสั่นสะเทือนถึง...กรุงเทพมหานครและปริมณฑลกรมโยธาธิการ ท้องถิ่นและเจ้าของโครงการต้องทำการสำรวจความแข็งแรงของโครงสร้างของอาคารสูงที่สูงเกิน 15 เมตรที่สร้างก่อนปี 2550 และอาคารทุกประเภทที่สร้างก่อนปี 2522 นับรวมไปถึงโบราณสถาน เจดีย์เก่า วัด รวมทั้งสะพาน โครงสร้างรางและสถานีรถไฟฟ้า, ทางด่วนโดยเฉพาะโครงสร้างบนถนนพระรามที่ 2 (เกิดคานถล่มประจำ) เป็นการด่วน รวมทั้งเขื่อนเก็บกักน้ำต่างๆ ทั้งในภาคเหนือ ภาคกลางและภาคอีสานด้วยเนื่องจาก พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2550 เพิ่งมากำหนดให้การก่อสร้างอาคารสูงเกิน 5 ชั้นหรือ 15 เมตร ต้องมีโครงสร้างอาคารที่มีความสามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากแผ่นดินไหวได้ประเด็นสำคัญมีว่า...สาเหตุของการแผ่นดินไหวทางธรรมชาติเกิดจากการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกที่เกิดการโก่งตัวหรือคดโค้งอย่างฉับพลัน รอยเลื่อนในประเทศไทยมี 15 แห่งแต่มีแนวรอยเลื่อนที่ยังสามารถเคลื่อนตัวอยู่บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศได้แก่ รอยเลื่อนเชียงแสน รอยเลื่อนแม่ทา รอยเลื่อนแพร่ รอยเลื่อนเถิน รอยเลื่อนเมยอุทัยธานี รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ รอยเลื่อนคลองมะรุย เป็นต้น ซึ่งต้องเฝ้าระวังต่อไปย้ำว่า...แผ่นดินไหวที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา ขนาด 8.2 ที่ระดับความลึก 10 กม.ครั้งนี้ แรงสั่นสะเทือนรับรู้และสร้างความเสียหายในหลายจังหวัดของประเทศไทยสาเหตุเกิดจากการเคลื่อนตัวของ “รอยเลื่อนสะกาย” (Sagaing Fault) ที่ถูกขนานนามว่าเป็น...“ยักษ์หลับกลางเมืองเมียนมา” “ความสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวครั้งนี้มีผลกระทบต่อ กทม.สูงมาก ตึกย่านจตุจักรที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินสูง 30 ชั้นถล่มลงมา...อาคารใบหยก 1 และ 2 เอียงเล็กน้อยและเกิดรอยร้าว...เกิดเครนที่กำลังก่อสร้างคอนโด นิชโมโนบางโพสูงกว่า 20 ชั้นถล่มลงมามีผู้เสียชีวิตรถไฟฟ้า BTS-MRT ประกาศหยุดให้บริการชั่วคราว, อาคารสูงร้าวจำนวนมาก ประชาชนลงมาอยู่ริมถนน รถวิ่งออกมาจากอาคารมาอยู่บนถนนจำนวนมาก การจราจรติดขัดแบบมหาวิปโยค....”พุ่งเป้าไปที่กรณีตึกสูงถล่มพังครืน สุ้มเสียงในสังคมโลกออนไลน์สะท้อนมุมมองสะดุดใจ “แผ่นดินไหวแค่สะกิด… จุดอ่อนที่แท้จริงอยู่ในระบบวิศวกรรมของเรา ถึงเวลาพูดความจริง เรื่องตึกถล่มกับความรับผิดชอบที่หายไป?”ถึงแม้ว่าในมุมมอง ณ ตอนนี้ จะไม่มีใครที่จะสามารถฟันธงสรุปข้อมูลอย่างแท้จริงได้ ด้วยว่ายังไม่ทราบข้อเท็จจริงในภาพรวมทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่คิดตรงกันก็คือ...น่าจะมีอะไรที่ผิดปกติแน่นอนเพราะว่าแผ่นดินไหวกระทบตึกสูงโดยทั่วไป หากแต่ก็ไม่ทำให้พังเหมือนกันแม้แต่น้อย คำถามสำคัญมีว่า...คงต้องตั้งคำถามย้อนไปถึงต้นตอตั้งแต่กระบวนการออกแบบ ก่อสร้าง และควบคุมงานในโครงการนี้...มีความบกพร่องอะไรบางอย่างอยู่แล้วหรือไม่? แรงสั่นไหวจาก...“แผ่นดินไหว” เพียงเปิดแผลให้สังคมได้เห็นหรือเปล่า? คงต้องติดตามดูหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสางคลี่คลายเงื่อนปมในเรื่องนี้กันอย่างใกล้ชิดแท้จริง...เกิดจาก “มนุษย์” หรือ “ธรรมชาติ” กันแน่?ในเบื้องต้น สุริยชัย รวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหลักครั้งนี้ เปิดเผยว่า สภาพพื้นที่เป็นอาคารระหว่างก่อสร้าง ความแข็งแรงของตัวอาคารยังไม่เซตตัว หลังเกิดการสั่นไหวก็ทำให้พังลงมา โดยพังลงมาเป็นชั้นๆเหมือนเค้ก“กรุงเทพฯ” ตั้งอยู่บนชั้นดินเหนียวอ่อนหนาหลายสิบเมตร ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายโคลนเปียกเมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ดินประเภทนี้จะขยายแรงสั่นสะเทือนให้รุนแรงขึ้น หรือที่เรียกว่า “Soil Amplification” นั่นหมายความว่า...แรงสั่นสะเทือนที่อาจไม่รุนแรงในแหล่งกำเนิดสามารถทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ส่งผลให้ตึกสูงและโครงสร้างพื้นฐานมีความเสี่ยงสูงขึ้น “ประเทศไทย” มีข้อกำหนดทางวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหวมาตั้งแต่ปี 2540 และมีการปรับปรุงเพิ่มเติมในปี 2550 แต่ปัญหาคือ “อาคารเก่า” จำนวนมากไม่ได้รับการบังคับให้ปรับปรุงให้เป็นไปตามมาตรฐานใหม่นี้ อีกทั้งการตรวจสอบโครงสร้างอาคารเป็นเรื่องที่มักถูกละเลยจนกระทั่งเกิด “ภัยพิบัติ” แล้วจึงมีการหยิบยกมาพูดถึง?ถึงเวลาแล้วหรือยัง...ที่ควรจะปรับปรุงโครงสร้าง “เมืองไทย” ให้พร้อมรับมือตอกย้ำกรณีตึก สตง.(แห่งใหม่) ถล่ม...เป็นเครื่องเตือนใจว่าประเทศไทยไม่ได้ปลอดภัยจากแผ่นดินไหวอีกต่อไป รัฐบาล หน่วยงานด้านวิศวกรรมและภาคเอกชนต้องร่วมมือกันในการปรับปรุงโครงสร้างอาคารเก่าให้มีความแข็งแรงขึ้น รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้นกับการก่อสร้างอาคารใหม่เพราะ...สิ่งที่น่ากลัว ไม่ใช่แผ่นดินไหวเพียงอย่างเดียว แต่คือความเปราะบางในระบบวิศวกรรมของเราเอง หากไม่เริ่มเปลี่ยนแปลงวันนี้...อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเราอาจต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่ร้ายแรงกว่านี้และต้องสูญเสียมากกว่าที่ควรจะเป็น.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม