หน้าที่สำคัญของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและ รมว.คลัง คือหารายได้ให้รัฐบาลเอาไปใช้จ่ายพัฒนาประเทศและช่วยเหลือพี่น้องประชาชนแต่ปัญหาใหญ่ไฟลนก้นคือปริมาณหนี้สะสมของรัฐบาลใกล้ชนเพดานเต็มทีนายพิชัย ขุนคลังกระเป๋าเหี่ยว จึงต้องชุลมุนวุ่นวายหารายได้เพิ่ม เพื่อไปเสริมสภาพคล่องของรัฐบาลการขึ้นภาษีแวต...จึงเป็นเป้าหมายที่ “นายพิชัย” ต้องพุ่งชน!!เพราะภาษีแวต หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นแหล่งรายได้ก้อนใหญ่ที่สุดของรัฐบาลนี่คือเหตุผลที่นายพิชัยแบะท่าจะปรับขึ้นภาษีแวตจาก 7 เปอร์เซ็นต์ เป็น 15 เปอร์เซ็นต์อ้างว่าประเทศทั่วโลกต่างเก็บภาษีแวตเฉลี่ย 15 เปอร์เซ็นต์ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ในขณะที่ประเทศไทยยังเก็บภาษีแวต 7 เปอร์เซ็นต์เป็นเวลายาวนานถึง 27 ปีตั้งแต่ยุคต้มยำกุ้งจนถึงปัจจุบันหากขยับภาษีแวตให้เหมาะสมจะสร้างรายได้ให้รัฐบาลนำไปเพิ่มสวัสดิการประชาชนได้อย่างพอเพียง“แม่ลูกจันทร์” ไม่คัดค้านการขึ้นภาษีแวตเกิน 7 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้สอดคล้องกับภาระรายจ่ายของประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นๆอย่างรวดเร็วเพราะการขึ้นภาษีแวตเป็นทางเลือกและทางรอดเดียวของรัฐบาลแต่ “แม่ลูกจันทร์” คัดค้านการขึ้นภาษีแวตแบบบ้าระห่ำไปถึง 15 เปอร์เซ็นต์หรือขึ้นพรวดเดียวกว่าเท่าตัว!!เนื่องจากภาษีแวตเป็นภาษีชนิดเดียวที่คนไทยทุกคนต้องมีส่วนร่วมจ่ายภาษีบำรุงประเทศอย่างถ้วนหน้ากันหากขยับภาษีแวตสูงเกินไป จะเกิดผลกระทบแน่นอน!!“แม่ลูกจันทร์” สรุปว่ารัฐบาลเก็บภาษีแวต 7 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงิน 9.3 แสนล้านบาทต่อปีหากเพิ่มภาษีแวต 1 เปอร์เซ็นต์เป็น 8 เปอร์เซ็นต์ จะเพิ่มรายได้อีก 1.3 แสนล้านบาทสบายๆหากเพิ่มภาษีแวต 3 เปอร์เซ็นต์เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ จะเพิ่มรายได้เข้าคลังอีก 3.9 แสนล้านบาททีเดียว!!รายได้จากภาษีแวตที่เพิ่มอีก 3.9 แสนล้านบาท จะแก้ปัญหารัฐบาลถังแตกเห็นผลทันตา“แม่ลูกจันทร์” เสนอว่าการขยับภาษีแวตเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ แบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น คือ “ปรับเพิ่มเป็นขั้นบันได”ปีแรกขยับจาก 7 เปอร์เซ็นต์เป็น 8 เปอร์เซ็นต์ปีที่ 2 ขยับจาก 8 เปอร์เซ็นต์เป็น 9 เปอร์เซ็นต์และปีที่ 3 ขยับจาก 9 เปอร์เซ็นต์เป็น 10 เปอร์เซ็นต์การขยับแวตเป็นขั้นบันไดจะช่วยแก้ปัญหารัฐบาลถังแตกแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่เอะอะโครมคราม“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่าการปรับขึ้นภาษีแวต 10 เปอร์เซ็นต์ สามารถทำได้ทันทีเพราะเป็นเพดานภาษีที่กำหนดไว้เดิมแต่สิ่งที่นายพิชัยต้องทำใจ คือการขึ้นภาษีแวตต้องโดนทัวร์ลงจนหูบานขึ้นภาษีถ้าไม่โดนทัวร์ลงก็ผิดปกตินะซีโยม."แม่ลูกจันทร์"คลิกอ่านคอลัมน์ “สำนักข่าวหัวเขียว” เพิ่มเติม