เป็นข่าวน่าตื่นเต้นทีเดียวที่จะมีโรงงานผลิตชิป (Wafer Fabrica tion) แห่งแรกในประเทศไทย โดยบริษัท เอฟทีวัน คอร์เปอเรชั่น จำกัด เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) กับกลุ่ม ปตท. จะเริ่มก่อสร้างโรงงานที่ จ.ลำพูน ภายในสิ้นปีนี้ และเริ่มผลิตชิปไตรมาสแรกปี 2570การตั้งโรงงานผลิตชิปดังกล่าว วงเงินลงทุนเฟสแรก 11,500 ล้านบาท ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ผลิตชิปชั้นนำของเกาหลีใต้ เพื่อผลิตชิป (Wafer) ชนิดซิลิคอนคาร์ไบด์ ขนาด 6 นิ้ว และ 8 นิ้ว สามารถทนกระแสไฟฟ้าและความร้อนสูงได้ เหมาะสำหรับใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการแปลงพลังงานไฟฟ้าทุกประเทศล้วนต้องการเกาะเกี่ยวกระแสเทคโนโลยีดิจิทัล อยากเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะการผลิตชิปซึ่งถือเป็น ต้นน้ำ ที่มีมูลค่ามหาศาล การมีโรงงานผลิตชิปแห่งแรกจึงถือเป็นก้าวย่างสำคัญที่จะนำประเทศไปอยู่ต้นน้ำของห่วงโซ่ อย่างไรก็ตาม ผมไม่แน่ใจว่าในโรงงานผลิตชิปแห่งนี้ วิศวกรไทยจะได้มีส่วนในการออกแบบชิปมากน้อยแค่ไหน หรือเพียงแค่คอยควบคุมการผลิตเวเฟอร์จากการนำเข้าของวัตถุดิบจากต่างประเทศต้องยอมรับว่าความพร้อมของไทยทั้งในแง่ของ องค์ความรู้และ บุคลากร ยังอยู่ห่างไกลจากต้นน้ำของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล ช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ไม่มีรัฐบาลไหนวางรากฐานและผลักดันเรื่องนี้อย่างจริงจัง บัณฑิตไทยมีสักกี่คนที่เรียนจบโดยตรงด้านการผลิตชิป ขณะที่บริษัทผลิตชิปก็ไม่เคยมองมาที่ไทยเลยนโยบายรัฐบาลนายกฯอิ๊งค์ที่แถลงไว้ มีหัวข้อการส่งเสริมโอกาสแห่ง อุตสาหกรรมในอนาคต จะดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศมาตั้งโรงงานผลิตชิปและชิปดีไซน์ ผมขอเอาใจช่วยให้มีโรงงานชิปแห่งที่ 2, 3, 4 ตามมาในระหว่างที่จะก้าวไปสู่ต้นน้ำ ผมว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับกลางน้ำ โดยเฉพาะการผลิต แผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ Print Circuit Board (พีซีบี) ซึ่งเปรียบเหมือน กระดูกสันหลังของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด ทำหน้าที่เชื่อมต่อวงจรไฟฟ้าของอุปกรณ์ต่างๆการผลิตพีซีบีแม้ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง แต่ก็ไม่ยากซับซ้อนเท่ากับการผลิตชิป ขณะที่แรงงานไทยมีศักยภาพ ฝีมือประณีต ช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพให้กระบวนการผลิตพีซีบีได้อย่างดี และอุตสาหกรรมพีซีบี ยังเติบโตได้อีกมากคุณฐากร ตัณฑสิทธิ์ ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวในเวทีเสวนา “ปลุกไทยฝ่าวิกฤติ ปั้น PCB แสนล้าน” ว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกพีซีบีประมาณ 1.5 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 4% ของตลาดโลกที่มีมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านบาท ไทยจะทำอย่างไรให้สามารถเพิ่มมูลค่าการส่งออกพีซีบีให้มากขึ้นกว่าในปัจจุบัน เพราะคาดการณ์ว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า หรือช่วงปี 2569 ตลาดพีซีบีโลกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 5.3 แสนล้านบาท ไทยจะทำอย่างไรในการรับอานิสงส์จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมนี้ได้หากนำนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มเติมได้อีกประมาณ 50 ราย เชื่อว่าจะทำให้ส่วนแบ่งของตลาดพีซีบีของไทยเทียบกับตลาดโลกโตขึ้นเป็น 10–15% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาทต่อปี จะทำให้ไทยก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ ที่ 4 ของโลก รองจากจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นเท่านั้น นอกจากจะ สร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมากแล้ว ยังสามารถนำพาประเทศไทยเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลคุณฐากรกล่าวด้วยว่า อยากให้รัฐบาล ภาคเอกชน นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกันปลุกไทยฝ่าวิกฤติ ปั้นพีซีบีเศรษฐกิจจากแสนล้านสู่เศรษฐกิจหลายแสนล้านบาทให้สำเร็จความมุ่งมั่นที่จะไปยืนต้นน้ำเป็นเรื่องดี แต่ด้วยศักยภาพและทรัพยากรที่เรามีในขณะนี้ อุตสาหกรรมกลางน้ำก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน.ลมกรดคลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม