การแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ “มีชัย ฤชุพันธุ์” หัวหน้าทีมคณะผู้ร่างได้เรียกว่าฉบับปราบโกง ซึ่งเนื้อหาสาระได้ผูกโยงด้วยกลไกที่แยบยลทำให้การแก้ไขทำได้ยากที่สำคัญคือจะต้องทำประชามติทั้งก่อนแก้และที่ร่างใหม่ หากไม่ผ่านก็ไม่สามารถดำเนินการอะไรพูดง่ายๆว่ามีเจตนาที่จะให้ใช้รัฐธรรมนูญนี้ไปอีกนานจนกว่าจะสามารถทำตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้เท่านั้นนี่หมายถึงการแก้ไขทั้งฉบับ!แต่หากจะแก้ไขเป็นรายมาตรา หากสามารถร่วมลงชื่อได้ตามที่กำหนดก็สามารถทำได้ แต่ก็ใช่ว่าจะแก้กันได้ง่ายอย่างที่ “เพื่อไทย” เป็นหัวหมู่ที่จะแก้ไขประเด็นว่าด้วย “จริยธรรม” นักการเมืองก็ต้องถอยกรูดเพื่อจะมีเสียงคัดค้านโดยเฉพาะจากพรรคร่วมรัฐบาลที่แสดงตัวตนชัดเจนคือ “ภูมิใจไทย”เหตุผลสำคัญคือเป็นนักการเมืองต้องพร้อมที่จะถูกตรวจสอบเรื่องนี้ยังไม่ทันจางก็เกิดอีกปรากฏการณ์หนึ่งซ้อนเข้ามาคือวุฒิสภาได้มีมติที่จะแก้ไขร่างกฎหมายประชามติ ซึ่งสภาผู้แทนฯได้พิจารณาเพื่อนำไปใช้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดย กมธ.ของ สว.จะประชุมเพื่อแก้ไขร่างดังกล่าวที่แตกต่างไปคือให้ใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น ทำให้ไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้ต้องเปลี่ยนไปซึ่งจะส่งผลให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องล่าช้าออกไปไม่สามารถยืนยันได้ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเสร็จทันสภาชุดนี้ที่จะครบวาระปี 2570 พูดง่ายๆคือไม่สามารถก็ได้ต้องใช้รัฐธรรมนูญปี 60 ในการเลือกตั้งประเด็นที่น่าสนใจก็คือ สว.สายสีน้ำเงินดำเนินการในเรื่องนี้ก็เท่ากับจะบอกว่า “ภูมิใจไทย” ไม่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นรายมาตราหรือทั้งฉบับก็ตามพร้อมที่จะเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็คงพอจะมองเห็นภาพการเมืองในปัจจุบันว่าใครเป็นใคร พรรคการเมืองไหนมีจุดยืนอย่างไรที่ชัดคือ “เพื่อไทย” กับ “ภูมิใจไทย” นั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน แม้จะร่วมรัฐบาลเดียวกันที่ “เพื่อไทย” หวังจะกอดคอกับ “ภูมิใจไทย” และพรรคอื่นๆที่ร่วมรัฐบาลในขณะนี้ เพื่อสู้กับพรรค “สีส้ม” นั้นคิดได้แต่คงทำยาก...การแสดงตัวตนของ “ภูมิใจไทย” คาบนี้ได้บ่งบอกให้รู้ว่า เขาพร้อมที่จะเป็นผู้คุมเองในฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่จะเป็นตัวแทนของ “กลุ่มอำนาจเก่า” เพื่อต่อสู้กับ “สีส้ม” ทุกวิถีทางที่เห็นคือไม่ยอมให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างที่ต้องการทุกอย่างจะต้องคงรูปเดิมเอาไว้ทั้งระบบ250 สว.ที่ครบวาระและพ้นสภาพไปแล้วนั้น ได้คืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งภายใต้สีเสื้อใหม่ โดยพรรคภูมิใจไทยเป็นผู้กำกับไม่ต่างกับ คสช.กำกับ 230 สว.ที่ผ่านมาการที่ภูมิใจไทย “สามารถกุมบังเหียน 200 สว.ได้นั้นถือว่าเป็น “ดุลอำนาจ” ทางการเมืองใหม่ที่มีส่วนกำหนดทิศทางการเมืองได้จากนี้ไป ให้ดูบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในองค์กรอิสระต่างๆ ซึ่ง สว.จะเป็นคนกำหนดและเลือกสรรเข้ามาด้วยเงื่อนไขและปัจจัยใหม่การเลือกตั้งปี 2570 จึงน่าสนใจยิ่ง!"สายล่อฟ้า"คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม