สถานการณ์ประเทศไทยเดินอยู่บนปากเหวอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ คิดแล้วหวาดเสียวจริงๆเป็นมุมคิดของ นายมานะ มหาสุวีระชัย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ผู้ที่เคยโลดแล่นบนถนนเส้นการเมือง ถูกจีบให้เป็น รมว.คมนาคมตั้งแต่อายุ 38 ปี แต่ตอบปฏิเสธไปขอเอาความรู้ความสามารถด้านวิศวกรรมโครงสร้าง มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์ และประสบการณ์หัวหน้าทีมพัฒนาคอมพิวเตอร์โปรแกรมสำหรับ Non-Linear Structures สถาบันควบคุมนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกา ไปช่วยในตำแหน่งการเมืองอื่นๆถึงเหมาะสมกว่าวันนี้กลับมาสู่วงการเมืองอีกครั้ง หลังหายจากร้างเวทีไปประมาณ 20 ปี ชอบเอกซเรย์ทุกเรื่องโดยยึดหลัก “เหตุ-ผล” เป็นรากแก้วของศาสตร์ทุกแขนง ซึ่งมันคือศาสตร์เดียวกันนั่นเอง มานะ มหาสุวีระชัยโดยเฉพาะ “ก๊วนวิศวกรนอกคอก” มักส่องทุกปัญหาตามหลักวิศวกรรมโครงสร้าง อย่างรถไฟฟ้าบางสาย ชายตามองปั๊บ โป๊ะแตกทันทีมีส่วนต่างนับหมื่นล้านบาท แต่กลไกตรวจสอบทำได้แค่มองตาปริบๆหรือกรณีเกิดปัญหาขึ้นกับบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ ทำไมบริษัทอื่นๆอีกหลายบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ที่มีพฤติการณ์เดียวกัน ไม่ถูกเล่นงานตามกฎหมายบ้าง จับแต่ละประเด็นๆ เป็นขยะเน่าซุกอยู่ใต้พรม รอผู้นำที่กล้าและมีเทคโนโลยีที่ใช้ นำมาใช้เป็นเครื่องมือพลิกฟื้นประเทศไทยยังไม่นับรวมรัฐธรรมนูญที่รอวันเวลาออกแบบโครงสร้างใหม่ให้สมดุล และเชื่อมโยง เพื่อขับเคลื่อนบ้านเมือง ยังมีอีกสารพัดปัญหาที่รอการแก้ไขโดยเฉพาะปัญหาบ้านเมืองที่สำคัญสุด คือ “ผู้มีอำนาจไม่ค่อยรู้เรื่อง หรือถ้ารู้ก็รู้ไม่จริง ไม่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมที่เพียงพอ ทำสิ่งดีๆให้บ้านเมือง แต่ดันทะลึ่งมีอำนาจ แถมมีผลประโยชน์” แค่นี้ก็พอชี้ให้เห็นว่าประเทศเดินอยู่บนปากเหวถึงเวลาทุกฝ่ายพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสฝ่ายนิติบัญญัติ รวมถึง สว.200 คนป้ายแดงรัฐบาลเพื่อไทย–นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีโดย นายมานะ บอกว่าควรเริ่มจาก สว.200 คน ที่ถูกสังคมตั้งข้อสังเกตเป็นจุดอ่อนไหวทางการเมือง ในภาพรวม สว.ส่วนใหญ่ไม่เคยข้องแวะกับวงการเมือง ค่อนข้างใหม่ในวงการ และมีข้อครหา สว.สายสีน้ำเงิน ดูแล้วคงปฏิเสธยาก เมื่อดูจากผลคะแนนที่มาที่ไปในแต่ละสายเป็นจุดอ่อนไหวว่าสีน้ำเงินครอบวุฒิสภา“มันอาจเป็นเพียงช่วงต้นๆเท่านั้น เชื่อมั่น สว.ที่เป็นผู้แทนปวงชน พอปฏิบัติหน้าที่ไปสักพัก หลายท่านคงไม่ถูกครอบง่ายๆ ตามที่สังคมปักใจเชื่อแม้สังคมตราหน้าพวกนักการเมืองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งมันก็จริง แต่มีหลายคนที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น อย่าเหมาเข่ง มันเจ็บปวด ขอให้ดูเป็นคนๆ ทักษิณ ชินวัตรโดยเฉพาะ สว.ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นชนชั้นนำในสังคม มาจากชาวบ้านธรรมดา ถึงเวลารับรองลุกขึ้นมาทำหน้าที่ที่ดีได้ เปรียบเหมือนระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาจะพิสูจน์ สว.ชุดนี้”ด่านแรกที่พิสูจน์ สว. คือพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 67 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ประเด็นนี้ดูๆพรรคร่วมรัฐบาลบางครั้งเขาไม่เห็นด้วย แต่ก็ยอมถ้าไม่ถึงคอขาดบาดตาย แต่เมื่อถึงมือวุฒิสภา เชื่อว่า สว.ทุกสายต้องพิสูจน์ตัวเอง พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ชำแหละงบตั้งแต่วาระแรกโดยต้องทบทวนความทรงจำนายเศรษฐาที่หาเสียงครั้งแรก คือ 1.แจกเงิน 1 หมื่นบาท 2.ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต หมายความว่า แจกเงินผ่านระบบการเงินแบบใหม่ที่เป็นหัวหอกสำคัญทำอะไรต่อได้อีกเยอะแยะพูดไปพูดมาออกป่าลงทะเล พูดถึงเฉพาะแจกเงินยังกลับไปกลับมา เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขที่มาของงบประมาณตลอดเวลา ดีเลย์เป็นเรือเกลือ จึงไม่เห็นด้วยที่แจกเงินเยอะไปตั้งแต่ต้น ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจเยอะอย่างที่พูดส่วนระบบการเงินใหม่เป็นเรื่องใหญ่กว่าการแจกเงินเยอะมาก ผมเคยไปพูดบนเวที “แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตเป็นโอกาสหรือหายนะประเทศ” ก็ย้ำเป็นประเด็นใหญ่นี้รัฐบาลกลับตัดฉับทิ้งไป ทั้งที่เทคโนโลยีตัวนี้ ประเทศมหาอำนาจทำกันอยู่ ยังทำไม่สำเร็จ ขอให้คนมีอำนาจ และรัฐบาลโปรดฟัง ระบบการเงินมีกระทรวงการคลัง และแบงก์ชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทย) เกี่ยวข้อง วันนี้ 2 องค์กรใหญ่พูดคนละภาษา ต่างท่องคาถาเปลี่ยน “โครงสร้างทางเศรษฐกิจ” มาตลอด แต่ไม่มีเทคโนโลยีใหม่โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเป็นเครื่องมือฟื้นประเทศมันไม่ใช่แค่เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ไม่ใช่รัฐกิจแบบเอสโตเนียที่เป็นรัฐบาลดิจิทัล แค่ใช้บริหาร ภาครัฐ ไม่ใช่ภาครัฐ ภาคเอกชนทำแพลตฟอร์มผุดเป็นดอกเห็ด มีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของตัวเอง ทั้งลงทุนซ้ำซ้อน ราคาแพง ไม่มีประสิทธิภาพ ที่สำคัญเชื่อมต่อกันไม่ได้ สุดท้ายประชาชนแบกรับภาระทางอ้อมที่ไม่รู้ตัว ถ้ารัฐบาล ฝ่ายนิติบัญญัติ สังคม เข้าใจแล้วกดดันให้ผู้มีอำนาจลงทุน โดยใช้ซอฟต์แวร์ “อินเตอร์เน็ต ออฟแอสเซท-บล็อกเชนสาธารณะ” สามารถทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มเดียวกันคล้ายยานแม่เชื่อม “รากแก้ว-เอกชน-ภาครัฐ-โลกใบนี้” เข้าด้วยกัน ทุกแพลตฟอร์มเสียบปลั๊กได้ รวมถึงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ซุปเปอร์เมกะโปรเจกต์นี้ลงทุนไม่มาก เพราะสตาร์ตอัพไทยต้องการฝากรอยเท้าไว้บนแผ่นดินฉะนั้นรัฐบาลควรกลับไปตั้งหลักใหม่ เชิญวงการเทคโนโลยีทั่วโลกเปิดประกวด โดยห้ามล็อกสเปก กำหนดทีโออาร์ที่อยากได้ระบบการเงินแบบใหม่ เป็นการตีปี๊บให้ประเทศไทยดังกระฉ่อนโลกไปในตัวหากไทยทำสำเร็จ รับรองผู้นำของประเทศมหาอำนาจเจอนายกฯ ไทยกระโดดอุ้มเลย และรัฐบาลไม่ต้องวิ่งไปหาบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกด้านเทคโนโลยี ทุกค่ายวิ่งมาหาเราหมดในจังหวะที่ซุปเปอร์เมกะโปรเจกต์นี้สำเร็จ ไทยดีดตัวเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมของแบบนี้ไม่มีใครเสียหน้า ไม่มีใครเสียหายทำให้มันใหญ่ขึ้น ดีขึ้น ประชาชนก็ไชโยโห่ร้องสรรเสริญ ผลงานชิ้นโบแดงผูกพันรัฐบาลเพื่อไทย มีอำนาจต้องกล้าทำในเรื่องที่ควรทำ รับรองการเลือกตั้งใหญ่ครั้งต่อไป แทบไม่ต้องลงพื้นที่หาเสียง ประชาชนไม่ยอมให้คุณลงจากตำแหน่งหรอกถึงสมกับเป็นพรรคที่มีวิสัยทัศน์ คิดใหญ่ ทำเป็น ไม่เช่นนั้นเสียมอตโต้พรรคกอบกู้เศรษฐกิจหมด กลายเป็น “คิดใหญ่ ทำไม่เป็น” มีอำนาจแล้วยังไม่ยอมรับฟังด้วย ดูท่าทีเหมือนดูแคลนสตาร์ตอัพสายพันธุ์ไทย ของแบบนี้ทำได้คือทำได้ ทำไม่ได้คือทำไม่ได้ เป็นวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้อย่าทำเหมือนรัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมา มีอำนาจทำงานได้แค่รูทีน เหมือนไม่ได้ทำอะไร คิดหาเงินไปจ่ายเลือกตั้งรอบหน้า กลายเป็นวัฏจักรซื้อเสียง เข้ามาถอนทุน ประเทศย่ำอยู่กับที่ถึงเวลารัฐบาล– นายกฯ พลิกวิกฤติเป็นโอกาสนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่มีบทบาทต่อรัฐบาล จะพ้นบ่วงการเมือง 22 ส.ค.นี้ ถูกมองว่าเป็นเงื่อนไขทำให้เกิดเดดล็อกการเมือง นายมานะ บอกว่า เท่าที่สัมผัสนายทักษิณ ในฐานะเป็นคนเจรจาให้มาเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม มีคุณสมบัติเป็นคนเก่ง คิดไว กล้าตัดสินใจ โดยเฉพาะช่วงเป็นนายกฯ กลายเป็นซุปเปอร์นายกฯ เพราะกล้าใช้อำนาจเป็นผู้นำที่มี 2 วิญญาณในตัวคนเดียว คือพ่อค้า และนักการเมือง ถ้าลดวิญญาณพ่อค้าลง รักษาผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน เมื่อหลุดบ่วงการเมือง มีอำนาจก็ต้องระวังขันทีรอบตัว เป็นตัวอันตราย ทำให้เกิดเดดล็อกการเมืองขอแนะนำอย่าตระเวนทัวร์นกขมิ้นอีกพันรอบก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันหมดยุคแล้ว การเมืองยุคใหม่ต้องมีนวัตกรรมใหม่ ซึ่งเป็นอาวุธที่สำคัญสร้างกระแสทางการเมืองที่ดีได้ ใช้เครื่องมือตัวนี้พลิกฟื้นประเทศไทยเป็นจังหวะที่ดีนายทักษิณ พลิกวิกฤติเป็นโอกาสพ่อค้าแค่พลิกความคิดนิดเดียว ก็เป็นรัฐบุรุษแล้วไม่เดินแต้มนี้มีโอกาสเดดล็อก เจ้าตัว–ประเทศเจ๊ง.ทีมการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม