ภายใต้ระบบ “หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” ประเด็นสำคัญมีว่า “เงินภาษี”...ประชาชนทุกบาททุกสตางค์จะถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ต่อทุกคนอย่างแท้จริงปัจจุบันระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำลังดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 22 แล้ว ความสำเร็จส่วนหนึ่งคือการทำให้ประชาชนมีสิทธิในการรับบริการสุขภาพ ซึ่งถือว่าน่าพอใจในระดับหนึ่งอย่างไรก็ดีก็ยังมีความท้าทายในเรื่อง “ความสะดวก” ในการเข้า “รับบริการ” เพราะแม้มีสิทธิแล้ว แต่ถ้าประชาชนไม่สามารถเข้ารับบริการได้สะดวกก็ไม่มีประโยชน์อะไร ฉะนั้นสิ่งที่จะดำเนินการต่อคือเรื่องการยกระดับ เพื่อให้ประชาชนเข้ารับบริการได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้นต้นเดือนที่ผ่านมา สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เป็นประธานการประชุม บอร์ด สปสช. ครั้งที่ 7/2567 สมศักดิ์ เทพสุทินโดยมีวาระพิจารณา (ร่าง) หลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการงบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2568 นำเสนอโดย ดร.ดวงตา ตันโช ประธานคณะอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุน ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบ“ในวันนี้ บอร์ด สปสช. ยังได้เห็นชอบให้ปรับเพิ่มเติมงบบริการแพทย์แผนไทยจาก 20.37 บาทต่อประชากร เป็น 31.90 บาทต่อประชากร โดยขอให้ดำเนินการแปรญัตติงบประมาณเพิ่มเติมที่ระหว่างนี้อยู่ในการพิจารณาของทางสภาผู้แทนราษฎร โดยให้ปรับเกลี่ยจากงบส่วนอื่น” ประธานบอร์ด สปสช. ว่า“เพื่อสนับสนุนการพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการใช้ยาสมุนไพรของประเทศ”ในภาพรวม สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้รับจัดสรรงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ปีงบประมาณ 2568 จากรัฐบาลจำนวน 235,842.80 ล้านบาท หรือ...อัตราเหมาจ่ายจำนวน 3,844.55 บาทต่อประชากรในจำนวนนี้เป็นเงินเดือนบุคลากรภาครัฐจำนวน 68,089.63 ล้านบาท และเป็นงบประมาณที่ สปสช.นำมาบริหารจัดการจำนวน 167,753.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 จำนวน 15,014.93 ล้านบาทในการจัดสรรงบเพื่อลงสู่บริการประชาชนในแต่ละปีนั้น จะมีการจัดทำหลักเกณฑ์การดำเนินการและการบริหารจัดการงบประมาณและออกประกาศรองรับก่อน ซึ่งปีงบประมาณ 2568 สปสช.ก็ได้ดำเนินการเช่นกัน มีการระดมความคิดเห็นภาคส่วนต่างๆ ทั้ง “ผู้ให้บริการ” และ “ผู้รับบริการ”รวมถึงคณะกรรมการชุดที่เกี่ยวข้องและนำเสนอ (ร่าง) หลักเกณฑ์ฯต่อบอร์ด สปสช. ซึ่งให้ความเห็นชอบ สำหรับปีงบประมาณ 2568 มีรายการใหม่ต่อเนื่องจากปี 2567 ที่ต้องมีงบประมาณเพิ่มเติมจำนวน 12 รายการ รวมเป็นงบประมาณจำนวน 2,145.23 ล้านบาท อาทิ บริการที่สถานชีวาภิบาล การรักษาภาวะมีบุตรยาก การตรวจวินิจฉัยโรคหยุดหายใจขณะหลับ บริการผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ และยาในบัญชี จ.2 นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญต่อบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค โดยเพิ่มเติมสิทธิประโยชน์รายการใหม่ของปี 2567 และตามนโยบายรัฐบาล 11 รายการอาทิ ตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีด้วยปัสสาวะ บริการสิทธิประโยชน์ผู้ต้องขังเพิ่มเติม วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก HPVนับรวมไปถึงบริการสิทธิประโยชน์ใหม่ของปี 2568 ที่บอร์ดฯ เห็นชอบอีก 5 รายการ ได้แก่ บริการมิตรภาพบำบัด บริการสายด่วนวัยรุ่น...สายด่วนท้องไม่พร้อม ศูนย์ให้คำปรึกษาจิตเวช บริการสุขภาพสำหรับกลุ่มคนข้ามเพศและบริการคัดกรองวัณโรคระยะแฝง latent TB ที่สำคัญยังได้ปรับปรุงการบริหารจัดการ อาทิ บริการผู้ป่วยนอก โดยกันงบประมาณจากอัตราเหมาจ่ายรายหัวบริการเพื่อจ่ายสำหรับนโยบาย “บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่” บริการกรณีเฉพาะในส่วนบริการปฐมภูมิไปที่ไหนก็ได้ ปรับระบบการจ่ายจากเดิมจ่ายตามรายการบริการเป็นการจ่ายที่เหมาะสมเช่น แบบ pervisit...ไปที่ไหนใช้บัตรประชาชนไปพิสูจน์ตัวตนก่อนเพื่อตรวจสอบเชื่อมโยงข้อมูลกันในระบบ และการปรับการจ่ายบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ (UCEP) ภาครัฐ จากจ่ายตามรายการบริการเป็นจัดสรรแบบ Grant รายปี เพื่อพัฒนาระบบบริการวิกฤติฉุกเฉินให้มีคุณภาพและจ่ายตั้งแต่ต้นปีทั้งนี้...ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ สปสช. กำหนดนอกเหนือจากนี้ก็ยังมีบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยขยายขอบเขตบริการจากเดิมครอบคลุมแค่บริการฟื้นฟูเป็นครอบคลุมบริการรักษาและป้องกันได้ด้วยงบท้องถิ่น รวมถึงปรับการจ่ายค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพฯ โดยเพิ่มการจ่ายตามรายการบริการจาก 22 รายการ เป็น 28 รายการเช่น ค่าฉีดวัคซีนพื้นฐาน (EPI) อัตรา 20 บาท นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารีนพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ย้ำว่า การออกแบบการจ่ายภายใต้งบประมาณที่คาดว่าจะได้รับนี้ สปสช. ยึดหลักการดำเนินการตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 กฎหมาย ระเบียบ และมติ ครม.ที่เกี่ยวข้อง ประกอบการเสนองบประมาณ...การขยายบริการที่สนับสนุนการดูแลสุขภาพประชาชน การสนับสนุนบริการนวัตกรรมเพื่อลดความแออัดและเพิ่มการเข้าถึงบริการ ตามนโยบายรัฐบาล “30 บาทรักษาทุกที่” การปรับหลักเกณฑ์การจ่ายชดเชยค่าบริการสอดคล้องกับระบบบริการและประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างเหมาะสม“การปรับระบบการจ่ายตามรายการบริการที่เหมาะสมขึ้นและควบคุมงบประมาณได้สนับสนุนการจ่ายเพื่อเพิ่มคุณภาพบริการล้างไต การปรับการจ่ายเพื่อพัฒนาระบบบริการ บูรณาการจ่าย UCEP ภาครัฐ รวมกับ ER คุณภาพ ขยายขอบเขตบริการสาธารณสุขระดับจังหวัดให้ครอบคลุมการบริการประชาชนมากขึ้น”พุ่งเป้า...คำนึงถึงการบริหารงบกรณีบริการสิทธิประโยชน์ใหม่ต่อเนื่องจากปี 2567 ที่ไม่ได้ของบไว้ในปี 2568 เน้นการจัดสรรดูแล “กลุ่มเปราะบาง” หรือ “บริการที่ขาดแคลน” สนับสนุนให้เกิดบริการด้านแพทย์แผนไทยและบูรณาการการมีส่วนร่วมจากท้องถิ่นในงบประมาณ 3 ส่วน ได้แก่กองทุนฟื้นฟูฯระดับจังหวัด กองทุนหลักประกันสุขภาพในระดับตำบล (กปท.) และกองทุนดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงด้านสาธารณสุขตัวอย่างประเด็นที่ปรับปรุงในร่างประกาศปีนี้ อาทิ ปรับอัตราเหมาจ่ายต่อผู้มีสิทธิ รองรับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค เพิ่มบริการ Home ward ตาม DRG จาก 10 กลุ่มโรคเป็น 13 กลุ่มโรค ปรับการดูแลผู้ป่วย แบบประคับประคองโดยใช้งบกองทุนมาตรา 47“การเพิ่มรายการ Fee Schedule สมุนไพรตามข้อเสนอกรมการแพทย์ สนับสนุนการจ่ายที่เพิ่มคุณภาพบริการล้างไต เพิ่มวัคซีน IPV เข็มสอง บริการสาธารณสุขร่วมกับท้องถิ่นครอบคลุมบริการผู้ป่วยจิตเวช”ในกรณีที่งบประมาณรายจ่าย ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ไม่มีการแก้ไข ก้าวสำคัญต่อไป... “สปสช.” จะปรับปรุงประกาศและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับสอดคล้องกับประกาศหลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริการจัดการกองทุนฯปีงบประมาณ 2568.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม