การแบ่งชั้นความรุนแรงความปั่นป่วนในสภาพอากาศ...“ตกหลุมอากาศ (Air Pocket)” ที่เครื่องบินบินผ่าน โดยนักบินจะประเมินค่าความรุนแรงได้ตามชนิดของเครื่องบินนั้นๆ ซึ่งต้องทำตามแนวทางการปฏิบัติงานและข้อจำกัดของนักบินแต่ละบุคคล เริ่มจาก...ความรุนแรงเล็กน้อย (Light) สภาพความปั่นป่วนที่ทำให้ผู้โดยสารต้องรัดเข็มขัด สิ่งของต่างๆในเครื่องบินยังคงอยู่นิ่งกับที่ ถัดมา...ความรุนแรงปานกลาง (Moderate) สภาพความปั่นป่วนที่ทำให้ผู้โดยสารต้องรัดเข็มขัดและผู้โดยสารอาจถูกโยนตัวขึ้นเป็นครั้งคราวแม้ขณะที่รัดเข็มขัดอยู่ สิ่งของต่างๆในเครื่องบินเคลื่อนที่ได้สาม...รุนแรงมาก (Severe) สภาพความปั่นป่วนที่ทำให้นักบินไม่สามารถควบคุมเครื่องบินได้ชั่วขณะหนึ่ง ผู้โดยสารถูกโยนตัวขึ้น-ลงอย่างรุนแรงขณะรัดเข็มขัด และสิ่งของต่างๆในเครื่องบินถูกโยนลอยขึ้นในอากาศได้ และสี่...รุนแรงมากที่สุด (Extreme) สภาพความปั่นป่วนในลักษณะนี้พบน้อยมากเครื่องบินถูกโยนขึ้น...ลงอย่างรุนแรงมาก และนักบินไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งอาจก่อความเสียหายให้แก่เครื่องบินได้ บริเวณของ CAT (ความปั่นป่วนในอากาศแจ่มใส) จะเคลื่อนที่ไปในทิศตะวันออกเสมอ โดยจะเคลื่อนที่ตามแนวปะทะอากาศ (Front) ที่เกิดขึ้นในบรรยากาศของผิวพื้นโลกประเด็นสำคัญมีว่า...เครื่องบินอาจตกหลุมอากาศบ่อยขึ้นแม้บินอยู่ในท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง...สัมพันธ์กับการที่โลกเข้าสู่สภาวะ “โลกเดือด”อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม ย้ำว่า โลกร้อนทำให้อุณหภูมิบนผิวโลกสูงขึ้น 1.2 ถึง 1.4 องศา...จากยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม ยิ่งระดับความสูงจากผิวโลกขึ้นไปเกือบ 20 กิโลเมตร...อุณหภูมิบรรยากาศยิ่งร้อนขึ้นจึงไปทำให้ลมระดับบนที่ระยะความสูงระหว่าง 7.0 ถึง 16 กิโลเมตรจากผิวโลกที่เรียกว่า “ลมกรด” หรือ “Jet stream” ซึ่งมีความเร็วเฉลี่ย 200 ถึง 400 กม. ต่อ ชม. และเคลื่อนที่จากซีกโลกตะวันตกไปยังตะวันออกมีความเร็วลดลงในบางช่วงบางขณะซึ่งจะทำให้ความหนาแน่นของมวลอากาศบริเวณนั้นลดลงด้วย อาจารย์สนธิ คชวัฒน์...ทำให้เกิดความแปรปรวนของอากาศ ทั้งที่อากาศช่วงนั้นปลอดโปร่งไม่มีพายุหรือเมฆฝนใดๆ เรียกว่า “Clear Air Turbulance” หรือ “CAT”...หากมีเครื่องบินบินผ่านแรงยกจากปีกของเครื่องบินจะลดลงอย่างกะทันหันและเครื่องจะตกลงไปในมวลอากาศที่บางลงซึ่งเรียกว่า “การตกหลุมอากาศ”พุ่งเป้าไปที่ประเด็น “โลกร้อนขึ้น...อุณหภูมิในบรรยากาศโลกสูงขึ้น อาจทำให้เกิดภาวะเครื่องบินตกหลุมอากาศมากขึ้น ทั้งๆที่เครื่องบินบินอยู่ในบรรยากาศที่ปลอดโปร่งได้ ซึ่งเรื่องนี้เกิดบ่อยขึ้น”นักวิจัยในสหรัฐอเมริกาค้นพบว่า ตั้งแต่ปี 1979 ถึงปี 2020มีเครื่องบินตกหลุมอากาศอย่างรุนแรงเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านั้นถึงร้อยละ 55 และมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบนพื้นโลกสู่บรรยากาศ ทำให้โลกร้อนขึ้นเรื่อยๆหากไม่ดำเนินการใดๆ ในปี 2050 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะสูงขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเรียกว่า “สภาวะโลกเดือด” อาจจะทำให้เครื่องบินตกหลุมอากาศอย่างรุนแรงมากขึ้นถึง 40% จากปี 2023...แม้ในขณะที่บินผ่านในบรรยากาศที่ปลอดโปร่งก็ตามศูนย์วิจัยบรรยากาศแห่งชาติในอังกฤษ ระบุว่า ในทุกๆปีมีเที่ยวบินประมาณ 65,000 เที่ยวบิน เผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวนปานกลาง และประมาณ 5,500 เที่ยว เผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวนรุนแรง ขณะที่เว็บไซต์ Turbil ที่ตรวจสอบสภาพอากาศแปรปรวน ได้ตรวจสอบเส้นทางบิน 150,000 เส้นทาง เพื่อตรวจหาเส้นทางบินที่เผชิญสภาพอากาศแปรปรวนรุนแรงที่สุดในช่วงปีที่ผ่านมา ใช้อัตราการกระจายตัวของกระแสลมหมุนวน (EDR) ในการจัดอันดับเส้นทางบินที่เผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวนมากที่สุดโดยวัดความรุนแรงของความปั่นป่วนของสภาพอากาศ ณ จุดที่กำหนด ซึ่ง EDR ระดับ 0-20 คือ สภาพแปรปรวนเล็กน้อย แต่หาก EDR 80-100 คือ สภาพอากาศแปรปรวนรุนแรงมาก ได้ข้อมูลน่าสนใจ พบว่า...เส้นทางจากกรุงซานติอาโก เมืองหลวงชิลี ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติ Viru Viru เมืองซานตาครูซ ประเทศโบลิเวีย ซึ่งมีระยะทางบิน 1,905 กม. นับเป็นเส้นทางบินที่เผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวนรุนแรงมากที่สุดรองลงมาอันดับสอง...เส้นทางบินจากเมืองอัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน ไปยังกรุงบิชเคก เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของคีร์กีซสถาน นอกเหนือจากนี้เส้นทางบินที่เผชิญอากาศแปรปรวนมากที่สุด ถึง 6 เส้นทางนั้นเป็นเส้นทางบินในประเทศญี่ปุ่นและจีนโดยเส้นทางบินจากเมืองหลานโจว มณฑลกานซู ไปยังเมืองเฉิงตู ในจีน เจอสภาพอากาศแปรปรวนรุนแรงมากที่สุด...อยู่อันดับ 3 ขณะที่เส้นทางบินจากเมืองโอซากา ไปยังเมืองเซนได ในญี่ปุ่น เผชิญสภาพอากาศแปรปรวนรุนแรงอยู่อันดับ 7ส่วนเส้นทางบินที่เผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวนที่สุดในยุโรป คือ...เส้นทางจากเมืองมิลาน อิตาลี ไปยังเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ “หลุมอากาศ” ที่เกิดจากกระแสลมปั่นป่วนรุนแรงที่ระดับความสูงเดียวกับเพดานบินเครื่องบินโดยสาร ซึ่งเรดาร์ไม่สามารถตรวจจับได้นั้นคือ...ความปั่นป่วนของกระแสลมท่ามกลางสภาพอากาศแจ่มใสสำหรับกลุ่มเมฆทุกชนิดที่เกิดขึ้นในท้องฟ้าสามารถใช้เป็นสัญญาณเตือนให้ทราบถึงความปั่นป่วนได้ว่ามีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด ซึ่งนักบินจะต้องเลือกว่าจะหลีกเลี่ยงหรือบินผ่านเข้าไปในเมฆชนิดนั้น เมื่อนักบินสังเกตเห็นเมฆปรากฏอยู่เบื้องหน้า นักบินสามารถประเมินความรุนแรงของความปั่นป่วนได้และ...อาจตัดสินใจลดความเร็วของเครื่องบินลง หรือปฏิบัติการอย่างอื่นตามคำแนะนำเพื่อผจญกับความปั่นป่วนนั้น แต่มีความปั่นป่วนอีกชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสิ่งเตือนใดๆที่มองเห็นได้ มีเครื่องบินจำนวนมากที่บินอยู่ในบริเวณที่ไม่มีก้อนเมฆปรากฏอยู่เลย แต่เครื่องบินได้รับการกระแทกหรือราวกับถูกจับโยน...เหมือนกับเรือที่แล่นอยู่ในทะเลที่เต็มไปด้วยระลอกคลื่น เรียกความปั่นป่วนในลักษณะนี้ว่า “ความปั่นป่วนในอากาศแจ่มใส”“สภาพอากาศ” กับ “การบิน” มีความสำคัญอย่างใกล้ชิดกับการเดินทางด้วยอากาศยาน เพราะการบินเป็นการนำเอาอากาศยานเข้าไปสัมผัสกับอากาศโดยตรง ดังนั้น...อากาศจึงมีความสัมพันธ์อย่างยิ่งต่อการบินสภาวะอากาศต่างๆที่ “ดี” หรือ “เลวร้าย”...วิปริตแปรปรวนสภาพของอากาศนั้น โดยธรรมชาติของบรรยากาศรอบโลก จะมีความแตกต่างกันไปตามคาบเวลาและสถานที่แม้ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสภาวะอากาศเลวร้ายต่างๆ ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น สามารถคาดหมายพยากรณ์ล่วงหน้าได้โดยหลักวิชาทางอุตุนิยมวิทยา แต่...ก็มีสภาพอากาศที่ปั่นป่วนท่ามกลางความแจ่มใส ซึ่งเรดาร์ของเครื่องบินไม่สามารถตรวจจับได้.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม