การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 มีความชัดเจนเรื่องของกรอบวงเงินงบประมาณที่ผ่านความเห็นชอบของ ครม.ไปแล้ว หลังจากที่ทุกหน่วยงานเสนอปรับปรุงแก้ไขผ่านสำนักงบประมาณเข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งเพิ่มจากแผนเดิมที่ทำเอาไว้ 3.6 ล้านล้านบาท อีกแสนกว่าล้านบาท โดยงบประมาณที่เพิ่มขึ้นมา รัฐบาลต้องการนำไปใช้ใน โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะเริ่มโครงการในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และงบรายจ่ายประจำจากการกำหนดเงินเดือนข้าราชการใหม่ หมายความว่างบประมาณรายจ่ายปี 2568 จะต้องเสร็จทันตามกรอบปีงบประมาณด้วยงบประมาณรายจ่ายปี 2568 เป็นงบประมาณแบบขาดดุล ที่ 865,700 ล้าน จากการเพิ่มวงเงินงบประมาณเป็น 3.752 ล้านล้าน ทำให้งบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้นจากงบประมาณปี 2567 ที่ตั้งเอาไว้ที่ 3.48 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 ในจำนวนงบประมาณที่เพิ่มขึ้น เป็นการเพิ่มขึ้นของ รายจ่ายประจำ จำนวน 2.7 ล้านล้าน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการบรรจุใหม่ที่ให้เงินเดือน 1.8 หมื่นบาทต่อเดือนสำหรับผู้จบปริญญาตรี ปริญญาโท 2.1 หมื่นบาท ปริญญาเอก 2.3 หมื่นบาท ปวช. 1.1 หมื่นบาท ปวส. 1.2 หมื่นบาท. (จะทำให้รายจ่ายประจำเพิ่มขึ้น 7,200 ล้านในปีแรก) รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน 1.5 แสนล้าน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 26.9 ส่วนเงินลงทุนเหลืออยู่ 8 แสนกว่าล้านการที่รัฐบาลจะต้องนำงบในกรอบงบประมาณประจำปีมาใช้ใน โครงการดิจิทัลวอลเล็ต อีกแสนกว่าล้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการกู้เงินที่ถูกหน่วยงานของรัฐ แย้งว่าจะผิดวินัยการเงินการคลังของประเทศ เป็นทางออกฉุกเฉินที่ยังไม่รู้ว่าจะพบกับปัญหาอะไรที่ตามมาในอนาคตอันใกล้และจะมีปัญหาเรื่องสัดส่วนงบประมาณระหว่างรายรับกับรายจ่ายหรือไม่ เนื่องจากการคาดการณ์ในการจัดเก็บรายได้ยังเท่าเดิมต้องยอมรับว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ต มีความเสี่ยงสูง ทั้งวินัยการเงินการคลัง และเสถียรภาพของรัฐบาล รวมทั้งโครงการสุดยอดประชานิยมที่รัฐบาลได้ใช้เป็นนโยบายหาเสียง ในเดือน พ.ค.นี้จากจะเพิ่มเงินเดือนข้าราชการที่บรรจุใหม่แล้ว กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ยังมีเงินเดือน 3 พันบาทให้กับ ครอบครัวอุปถัมภ์ผู้สูงอายุ ที่จะมอบให้กับผู้ดูแลผู้สูงอายุเปราะบาง ปีแรกตั้งงบรอบรับไว้ที่ 1,100 ราย จากจำนวนผู้สูงอายุกว่า 13 ล้านคน หรือร้อยละ 20 ของจำนวนประชากรไทย แสดงว่ายังไม่สามารถดูแลผู้สูงอายุได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ประเด็นสังคมผู้สูงอายุจะเป็นปัญหาใหญ่ต่อไปที่รัฐบาลจะปฏิเสธในการรับภาระไม่ได้ นอกจากจะปล่อยให้อยู่แบบอนาถาตัวเลขล่าสุดจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ รายได้ภาคครัวเรือนของคนไทยเฉลี่ยเดือนละ 2.9 หมื่นบาท ร้อยละ 70 เป็นรายได้ที่มาจากการทำงาน เงินเดือนค่าจ้าง คนไทยส่วนใหญ่ยังอยู่ในภาคแรงงาน ในขณะที่รายจ่ายภาคครัวเรือนเฉลี่ยเดือนละ 2.3 หมื่นบาท ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภคอาหาร เครื่องดื่ม ยาสูบหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนอยู่ที่ 1.9 แสนบาท เป็นหนี้ค่าบ้าน ค่ารถ การใช้จ่ายในครัวเรือน การศึกษา หนี้สินที่ใช้ในการทำการเกษตร เฉลี่ย 2.7 หมื่นบาทต่อครัวเรือน หนี้สินทำธุรกิจเฉลี่ย 1.5 หมื่นบาทต่อครัวเรือนอยู่ในอาการป่วยทั้งภาครัฐและประชาชน.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.thคลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม