สะเทือนขวัญคนทั้งประเทศ “คดีพ่อฆ่าลูกในไส้โบกปูนในพื้นที่ จ.กำแพงเพชร” เมื่อตำรวจเค้นสอบขยายผลเพิ่มเติม “จนผู้ต้องหายอมเปิดปากก่อเหตุฆ่าลูกจากเมียเก่าอีก 4 ศพ” แทบไม่น่าว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในสังคมไทยกลายเป็นข่าวพาดหัวใหญ่ให้ประชาชนสนใจกันอยู่ขณะนี้ ทำให้ตำรวจระดมกำลังปูพรมจุดเกิดเหตุ “ค้นหาหลักฐานเชื่อมโยง” เพื่อคลี่คลายคดีพ่อฆ่าลูกที่หายไป 4 คนเมื่อหลายปีก่อน ตามคำให้การผู้ต้องหาสารภาพออกมาว่าในปี 2556 และปี 2557 นำศพลูกอายุ 10 เดือนเศษ, ศพลูกอายุ 1 เดือนเศษไปทิ้งริม ถ.นิคมรถไฟฟ้าสาย 1 แขวงจอมพล เขตจตุจักร ใกล้สวนรถไฟ เขต สน.บางซื่อเมื่อตรวจสอบย้อนช่วงเวลานั้น “เคยมีการพบศพเด็ก 2 รายจริง” ล่าสุดแพทย์นิติเวช รพ.ตำรวจ รายงานผลตรวจดีเอ็นเอร่างทารก 2 ศพ ที่ถูกทิ้งนั้น “ดีเอ็นเอตรงกับผู้ต้องหา” นอกจากนี้ปี 2559 และปี 2561 เคยนำศพลูก 2 คนมาทิ้งที่รกร้าง ถ.พหลโยธิน กม.25 และ กม.26 เขต สน.สายไหม ตรงนี้ตำรวจอยู่ระหว่างค้นหาหลักฐานสาเหตุพฤติการณ์พ่อโหดเหี้ยมผิดมนุษย์นี้ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผช.อธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม ม.รังสิต บอกว่า ตกใจกับผู้ก่อเหตุเป็นพ่อแท้ๆ ทำร้ายลูกเสียชีวิต 5 คน “บางคนถูกทำให้เกิดบาดแผลเพื่อใช้เรี่ยไร่เงิน” จนไม่น่าเชื่อเหตุแบบนี้จะเกิดในสังคมไทย ถ้ามองในมุมอาชญาวิทยาแบ่งปัจจัยการก่อเหตุเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก... “ความรุนแรงในครอบครัวจากการเลี้ยงวัยเด็ก” เรื่องนี้ต้องมองกลับไปดูว่า “ผู้ก่อเหตุ” ถูกเลี้ยงดูเติบโตขึ้นมาอย่างไร...? เพราะคนจะมีพฤติกรรมลักษณะนี้ได้ “ต้องเคยตกเป็นเหยื่อการถูกกระทำในวัยเด็กซ้ำๆ” อย่างต่อเนื่องยาวนานผลนั้นจะส่งต่อคุณภาพแสดงออก “เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่” มีแนวโน้มกระทำความรุนแรงในครอบครัวซ้ำส่วนที่สอง... “การขัดเกลาทางสังคม” ตามหลักอาชญาวิทยา “มนุษย์” เกิดมามักมีสัญชาตญาณดิบติดตัวมาตั้งแต่เกิดเพียงแต่ “สัญชาตญาณดิบจะลดลงได้” ด้วยการขัดเกลาทางสังคมจากพ่อแม่ปลูกฝังให้แต่ในสิ่งที่ดีงาม และสถาบันการศึกษา เพื่อนร่วมสังคม จะช่วยหล่อหลอมพฤติกรรมให้สามารถอยู่ในสังคมอย่างปกติสุขได้“ถ้าไม่ถูกขัดเกลาเช่นนั้นบางคนอาจไม่สนใจเรียน และมักมีปฏิสัมพันธ์เพื่อนไม่ดี ทำให้การขัดเกลาสัญชาตญาณดิบน้อยกว่าปกติ แล้วหากเจอปัจจัยการดื่มสุรา หรือใช้สารเสพติดร่วมด้วย ยิ่งจะทำให้กระบวนการคิดตัดสินใจผิดปกติแตกต่างจากคนอื่น สุดท้ายนำไปสู่การก่ออาชญากรรมได้ง่ายขึ้น” รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ว่า รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูลสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า “พ่อแท้ๆสามารทำกับลูก” โดยไร้ซึ่งคุณธรรมความดี ขาดสามัญสำนึกทั้งความเป็นมนุษย์ และความเป็นพ่อ เพราะเป็นคนล้มเหลวด้านความรักรุนแรงจนไม่สนใจที่จะรักคนรอบข้าง หรือไม่สนใจรักลูกภรรยา สามารถทำร้ายโดยไม่แคร์สิ่งใด เพื่อสนองความเห็นแก่ตัวยึดตัวเองเป็นใหญ่อยากได้อะไรต้องได้สังเกตจากต้องเพศสัมพันธ์ “ก็มีภรรยา 4 คน” ไม่พอใจมักทุบตีจนลูกเสียชีวิตตามข่าวนั้น สิ่งนี้ตรงกับคำว่า “คริมินอลไมน์ดส์ (Criminal Minds) จิตใจของอาชญากร” ที่มีการศึกษาอาชญากรรมหลายคดีในรูปแบบ การก่อเหตุลักษณะเดียวกันพบว่า “คนร้าย” ล้วนมีภูมิหลังสภาพชีวิตเคยเผชิญปัญหาถูกใช้ความรุนแรงแทบทั้งสิ้นแล้วยังมีงานวิจัยหลายเล่มตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบันคงเห็นตรงกันว่า “สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่เล็ก” แต่มีบทบาทสำคัญต่อการหล่อหลอมพฤติกรรมมนุษย์ให้โตเป็นคนดี มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกาย และจิตใจ ฉะนั้นพ่อแม่ควรมีเวลาให้ลูกได้พูดคุยกันมากขึ้น เพื่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์อันจะช่วยลดเหตุการณ์แบบนี้ลงได้ ย้ำงานวิจัยในสหรัฐฯ “เด็กที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัว 50%” เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่จะมีพฤติกรรมนิยมใช้ความรุนแรงต่อคนอื่นเช่นกัน “ยิ่งพ่อแม่เชื่อมโยงกับการใช้สารเสพติด หรือติดสุรา” สิ่งนี้จะเป็นตัวผลักดันยกระดับของการใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาในครอบครัวเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติอีกด้วยถ้าดูข้อมูลสถิติ “สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนมากกว่า 50%” ล้วนมาจากครอบครัวมีปัญหาพ่อแม่หย่าร้างอาศัยกับพ่อเลี้ยง หรือแม่เลี้ยง แน่นอนย่อมส่งผลให้เด็กมีพฤติกรรมละเมิดกฎหมายสูงกว่าปกติประเด็นกรณี “พ่อแท้ๆฆ่าลูก 5 ศพเข้าข่ายฆาตกรต่อเนื่องหรือไม่...?” ตามนิยาม FBI ผู้ที่เป็นฆาตกรต่อเนื่องต้องก่อเหตุ 3 ครั้งขึ้นไป คนทำผิดต้องเป็นคนเดียวกันทำต่อเหยื่อต่างกัน และไม่ใช่สมาชิกในครอบครัว แต่ในส่วนประเทศไทยยังไม่ได้บอกไว้ชัดเจนเลยต้องยึดตามนิยาม FBI มาตลอด ถ้าเปรียบเทียบกรณี “พ่อทำร้ายลูกจนเสียชีวิต 5 ศพ” เป็นความรุนแรงในครอบครัวมากกว่าฆาตกรต่อเนื่องที่น่าจะเป็นเคสแรกของโลกด้วยซ้ำ “อนาคตอาจต้องนิยามความรุนแรงในครอบครัวเข้าข่ายเป็นฆาตกรรมต่อเนื่อง” เพราะในช่วง 5-10 ปีมานี้เริ่มเห็นคดีความรุนแรงในครอบครัวเสียชีวิตมากกว่า 2 รายเยอะขึ้นต่อมากรณี “แม่เด็กปล่อยให้ลูกถูกทำร้าย” เรื่องนี้น่าสนใจคงต้องตรวจสอบดูว่า “แม่เด็กมีภาวะต้องพึ่งพิงผู้เป็นพ่อมากน้อยเพียงใด” ไม่ว่าจะเป็นการอาศัยทางการเงิน ภาวะเศรษฐกิจ จนทำให้ต้องยอมใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน หรืออาจเป็นไปได้ว่า “แม่ถูกทำร้าย และถูกขู่ฆ่า” ทำให้ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องนี้ให้คนอื่นทราบก็ได้อย่างไรก็ดีกรณีนี้อาจต้องตรวจสอบดู “ภูมิหลังแม่เด็ก” เพราะปกติคนจะอยู่กินกับสามีที่ชอบใช้ความรุนแรงได้ “มักต้องมีอะไรบางอย่างที่เหมือนกัน” จึงจะสามารถมีปฏิสัมพันธ์การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ขนาดนี้ประการถัดมา “ผู้ต้องหากล่าวอ้างป่วยทางจิต” เรื่องนี้คงให้จิตแพทย์เป็นผู้ประเมินถึงจะบอกได้ว่าผู้ก่อเหตุป่วยจริงหรือไม่ “เพราะคนผิดปกติทางจิตมักไม่บอกว่าป่วย” แต่ว่าผู้ต้องหาน่าจะรู้กฎหมายถ้ากระทำความผิดขณะจิตไม่สมประกอบ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี มักเป็นการทำผิดโดยไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย แล้วด้วย “คดีนี้มีอัตราโทษประหารชีวิต” เช่นนี้การอ้างป่วยทางจิตเป็นการใช้ช่องว่างของกฎหมายไม่ให้ต้องรับโทษหนักเท่านั้น เพราะตามประสบการณ์เคยเป็นตำรวจทำงานสืบสวนมานั้น “แผนประทุษกรรมในการก่อเหตุฆ่าลูก 2 ขวบ นำไปโบกปูนใน จ.กำแพงเพชร” ผู้ต้องหามีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเช่น ทำร้ายลูกตายแล้วก็นำถุงดำห่อหุ้มขับรถนำศพไปซ่อนเร้นได้ไกลถึง จ.กำแพงเพชร ต้องใช้เวลาเดินทางไม่ต่ำกว่า 1 ชม. ขณะเดียวกันถ้าเป็น “ผู้คนป่วยจิตเวชจริง” คงไม่สามารถวางแผนคิดเป็นขั้นเป็นตอนได้แน่ๆฉะนั้นกรณีคนร้ายอ้างว่าป่วยนั้น “ย่อมเป็นสิทธิกระทำได้” สุดท้ายหมอจิตเวชจะเป็นผู้ประเมิน เบื้องต้นตำรวจนำตัวผู้ต้องหาไปตรวจอาการทางจิตเวชแล้ว “ผลการทดสอบพูดคุยโต้ตอบได้ปกติไม่มีอาการหลอนหูแว่ว” ทำให้แพทย์ประเมินอาการโดยรวมมีอาการปกติ ไม่ได้มีอาการทางจิตเวชแต่อย่างใดย้อนกลับมาปัจจัย “เศรษฐกิจรุมเร้านำไปสู่ทำร้ายลูก” ตามข้อมูลทางวิชาการเคยสำรวจกรณีความกดดันทางเศรษฐกิจมักเป็นส่วนสำคัญหนึ่งให้ “คนเกิดความเครียด” แต่ไม่ใช่ปัจจัยกดดันจนต้องทำร้ายฆ่าลูก เพราะตอนนี้ทุกคนในประเทศไทยล้วนเผชิญ “ปัญหาเศรษฐกิจเหมือนกัน” แต่ก็ไม่มีใครคิดจะก่อเหตุฆ่าตัวเอง เรื่องนี้คงต้องย้ำ “พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ.2562” เพราะกำหนดให้ผู้เห็นความรุนแรงในครอบครัว “แจ้งหน่วยงานรัฐตรวจสอบระงับเหตุเร่งด่วน” ทั้งให้ภาครัฐบูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานอื่น เพื่อสร้างองค์ความรู้ให้ชุมชนรู้จักวิธีสังเกต หรือระงับเหตุความรุนแรงในครอบครัวทั้งสร้างองค์ความรู้ในสถานศึกษา และสถาบันครอบครัว เพื่อส่งเสริมพัฒนาครอบครัวและคุ้มครองสวัสดิภาพให้ “สถาบันครอบครัวเข้มแข็ง” แต่ปัจจุบันหลายคนกลับยังไม่เข้าใจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้สุดท้ายในส่วน “ผู้ใหญ่” ควรต้องสำรวจตัวเองว่ากำลังผลิตความรุนแรงซ้ำหรือไม่ เพราะด้วยปัจจุบันพ่อแม่อารมณ์ไม่ดีจากการทำงานมักลงกับลูกเสมอ “ไม่ว่าจะด้วยวาจา ท่าทาง หรือการทำร้ายร่างกาย” สิ่งนี้ล้วนเกิดการซึมซับพฤติกรรมความรุนแรง อันจะทำให้เด็กกลายเป็นอาชญากรในอนาคตได้ฉะนั้น “เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมโลก” ไม่ใช่เป็นปัญหาเฉพาะสมาชิกคนในครอบครัวเท่านั้น ดังนั้นเราทุกคนในสังคมควรต้องออกมาช่วยแก้ไขร่วมกัน.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม