หัวข้อ“ภาพยิบเซ็ดอ่าน” ในหนังสือ “ภูมิศาสตร์วัดโพธิ์ เล่ม 1” (สำนักพิมพ์บำรุงสาส์น พิมพ์ครั้งที่ 2 พ.ศ.2516) กาญจนาคพันธุ์ พรรณนาเรื่อง การไปนรกสวรรค์ แบบของอียิปต์โบราณเห็นภาพชัดแจ๋วกว่าที่ผมเคยอ่านมาจากหนังสือเล่มที่เคยอ่านคนที่สิ้นลมหายใจตายลงแล้ว ไม่ว่าหญิงชายผู้ใหญ่เด็ก วิญญาณทุกดวงจะตรงไปที่เหลี่ยมเขาตะวันตก แต่พอเจอห้วงน้ำมืดเป็นควันคลุ้ม มีจระเข้เพ่นพ่าน...มีงูแผ่พังพานพ่นไฟแปลบปลาบไปทั่วดวงวิญญาณก็ตกใจ ไม่กล้าข้าม ออกันแน่นอยู่ที่ริมน้ำพอพลบค่ำ เรือพระอาทิตย์ก็มาถึงเหลี่ยมเขา วิญญาณทุกดวงกรูกันเข้าไป ผลักไส เกาะเรือ ยึดเรือ เบียดเสียดชุลมุนวุ่นวาย วิญญาณบาปหนาก็หล่นลงไป เป็นเหยื่อจระเข้ งูวิญญาณที่ขึ้นเรือได้แสดงว่าทำบุญไว้มาก คนเต็มเรือ เรือพระอาทิตย์ก็แล่นออก ผ่านเขตหนึ่ง เขตสอง ฯลฯ ซึ่งมืดตึ๊ดตื๋อไปตามลำดับ ถึงเขตหก สองยาม นี่คือแดนสำคัญทุกดวงวิญญาณ ต้องลงจากเรือ ผ่านการตรวจสอบเข้มงวดกวดขัน เข้าไปในท้องพระโรง ซึ่งท่านประธานเทพโอซิริส นั่งบนบัลลังก์ บริเวณนี้ แม้พระอาทิตย์ที่เป็นเทพขาใหญ่ ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าขั้นตอนนี้ เป็นเวลาที่ 42 เทวดา ทำหน้าที่ลูกขุน ซักถาม ถึงความประพฤติเมื่อยังเป็นมนุษย์เทวดาองค์ที่หนึ่ง ถาม “สูเจ้าลักทรัพย์หรือเปล่า?” องค์ที่สอง ถาม “สูเข้าพูดเท็จหรือเปล่า?” องค์ที่สาม ถาม “สูเจ้าบูชาเทวดาหรือเปล่า?” องค์ที่สี่ ถาม “สูเข้าฆ่าคนหรือเปล่า?” เทวดาองค์ที่ห้า ถาม “สูเจ้ารักเพื่อนบ้านหรือเปล่า?”ไปถึงเทวดาองค์ที่หก องค์ต่อๆไป จนครบองค์ที่ 42 ตอบผ่าน 42 คำถาม โหรัส ยมบาลใหญ่จะจูงดวงวิญญาณเข้าไปตรงหน้าพระแท่นเทพอนูบิส (เทพเจ้าแห่งความมืด) ทำหน้าที่ หยิบดวงวิญญาณวางลงในถาดตราชูข้างหนึ่ง อีกข้างวางขนนก (ขนนกเป็นสัญลักษณ์เทพธิดาแห่งความยุติธรรม พิสูจน์ความจริง)ถ้าดวงวิญญาณหนักกว่าขนนก ถาดเอียงลงมา ก็ถือว่า ดวงวิญญาณนั้น ทำบุญกุศลไว้มาก ตามที่ให้ปากคำกับ 42 เทวดาลูกขุนจริง ก็เท่ากับว่าได้ตั๋วเดินทางต่อส่วนดวงวิญญาณที่เบากว่าขนนก ถาดกระดกขึ้น ก็แสดงว่าบาปหนา ไม่ได้ทำบุญกุศลไว้จริง เทวดาก็จะจับโยนลงหลุมให้เป็นเหยื่อจระเข้และงูวิญญาณที่สอบผ่าน...ถูกพาจากห้องพิจารณา ไปขึ้นเรือพระอาทิตย์แล่นต่อไป ผ่านเขตเจ็ดไปถึงเขต 12 เขตนี้มืดที่สุด มีงูใหญ่ตัวเดียวตัวโตคับช่องเขา แล่นทะลวงตัวงูทะลุออกไปสู่แดนสว่าง ก็เป็นอันว่าถึงปลายทาง คือสวรรค์“กาญจนาคพันธุ์” พรรณนาบรรยากาศสวรรค์ของอียิปต์ด้วยคำกลอนแผ่นดินเหมือนคนปราบ ราบกว่าราบดั่งหน้ากลองสี หญ้าอ่อนสี่องคุลี เขียวขจีอันบรรจง น้ำไหลขึ้นข้างหนึ่ง ฟากข้างหนึ่งก็ไหลลง เต็มเปี่ยมเหลี่ยมสระสรง เพียงขอบฝั่งอยู่เป็นอาจิณ บ่พร่องบ่ล้นนัก แต่พอกาก้มลงกิน เต็มอยู่เป็นอาจิณ ใสบริสุทธิ์เห็นตัวปลากลอนบทนี้ที่จริง เป็นกลอนพรรณนา โลกพระศรีอาริย์ของคนไทย...แสดงว่าคล้ายกันมาก จึงไม่แน่ว่า โลกพระศรีอาริย์ของเราไปลอกสวรรค์ของยียิปต์มา หรือเขาลอกเอาของเราไปกระบวนยุติธรรมหลังความตาย...แบบของอียิปต์เข้มข้นมาก ไม่มีอภิสิทธิ์เทวดาหน้าไหนมาแทรกแซงได้ กษัตริย์ปโตเลมี ลูกน้องพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ต้องลอกแบบมาใช้ปกครองคนอียิปต์เราคงไม่สงสัย ระบบตราชั่งวิญญาณของเขานะครับ เก็บความสงสัยมาใช้กับ ระบบตราชั่งชีวิตคนเป็นๆแบบไทยๆของเราตอนนี้ดีกว่า ดูจะเอียงไปเอียงมาชอบกล.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม