ทันทีที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ “ครม.เศรษฐา 1” ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ก็เริ่มเดินหน้าทำงานบริหารประเทศ เพื่อแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม ความเหลื่อมล้ำ และปัญหาความแตกแยกทางด้านความคิดทั้งหลายด้วยการชูนโยบายเร่งแก้หนี้สินภาคเกษตร ธุรกิจ ประชาชน และปรับลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว “แก้ปัญหาความขัดแย้งในเรื่อง รธน.” ทั้งยังมีแผนการสร้างรายได้ สร้างโอกาส และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี กระตุ้นการกระจายรายได้สู่ชุมชนด้วยนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทกลายเป็นความหวังของคนไทยสะท้อนปัญหาเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขจาก นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้ประสานงานเครือข่าย We Fair ผ่านเวทีราชดำเนินเสวนาหัวข้อการบ้าน ครม.เศรษฐา 1 แก้วิกฤติประเทศ บอกว่า ก่อนหน้านี้เคยเดินสายคุยพรรคการเมืองนำเสนอ 9 เรื่อง คือ 1.เสนอเงินอุดหนุนเด็ก 0-18 ปี 3,000 บาทจำนวน 17.1 ล้านคน ข้อ 2.เรียนฟรีอนุบาล-มัธยม 9.2 ล้านคน 3.ระบบสุขภาพ 3 กองทุนมาตรฐานเดียวกัน 47 ล้านคน 4.ที่อยู่อาศัยคุณภาพราคาสอดรับรายได้ให้ 25 ล้านครัวเรือน 5.แรงงานมีคุณค่ามีเวลาดูแลครอบครัว 39 ล้านคนข้อ 6.ประกันสังคมครอบคลุมสิทธิทุกอาชีพ 39 ล้านคน 7.พัฒนาเบี้ยยังชีพเป็นบำนาญถ้วนหน้า 3,000 บาท/เดือน ปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อให้ 12 ล้านคน 8.สวัสดิการเสมอภาคทั้งคนพิการ สตรี 17 ล้านคน 9.ปฏิรูปภาษีเงินเพิ่มมีเงินเติมสวัสดิการให้ 67 ล้านคน เรื่องนี้อดีต หน.พรรคเพื่อไทยเคยรับข้อเสนอ 9 ข้อด้วยความยินดีแต่นั่นอาจจะเป็นเชิง “เทคนิคหาเสียงหรือไม่เราไม่ทราบ” แต่แน่นอนว่าเอกสารนำมาใช้อยู่นี้มีการยื่นกับ กกต.ไปแล้ว เพราะเรื่องการทำตามสิ่งที่หาเสียงไว้ค่อนข้างมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับพรรคการเมืองถ้ามองจาก “ภาพรวมเกี่ยวกับสวัสดิการ” ดูตามนโยบายหาเสียงพรรคการเมืองยังมุ่งสู่รัฐสวัสดิการ เช่น พรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย และไม่มีพรรคใดตัดเบี้ยยังชีพ เว้นแต่ ก.มหาดไทยจะตัดให้เฉพาะคนจน ถัดมาคือ “สถานการณ์ความยากจน” ในปี 2564 มีเส้นแบ่งความจนที่รายได้เดือนละ 2,803 บาท มีอยู่ 4.4 ล้านคน กลุ่มผู้เกือบเป็นคนจนมีรายได้เดือนละ 3,000 บาทขึ้นไป 4.8 ล้านคน ดังนั้นตอนนี้ประเทศไทยมีคนจน 9.2 ล้านคน และภาคใต้มีครัวเรือนยากจนรุนแรงสูงสุดร้อยละ 10.9 ภาคอีสานมีคนจนมากสุด/รายได้ต่อหัวต่ำย้ำครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 2.7 หมื่นบาท แต่รายจ่ายเฉลี่ย 2.1 หมื่นบาท บุคคลมีรายได้เฉลี่ยเดือน 9.9 พันบาท ค่าใช้จ่าย 7.8 พันบาท กลุ่มคนรวยสุดมีรายได้ 3.4 หมื่นบาท คนยากจนสุดมีรายได้ 2 พันบาท ในปี 2566 หนี้สินครัวเรือน 15.96 ล้านล้านบาทคิดเป็น 90.6% ของ GDP หนี้สินเฉลี่ย 2.5 หมื่นบาทเพิ่มขึ้น 12% จากปี 2562ในปี 2563 ไทยมีดัชนีคนจนมากอันดับ 55 ของโลก การคุ้มครองทางสังคมอยู่อันดับที่ 69 การศึกษา 62 จาก 82 ประเทศ ส่วนลูกคนร่ำรวยมีโอกาสร่ำรวยต่อไปแต่คนจนก็จนเรื่อยๆ กลายเป็นสถานการณ์ส่งต่อความจนส่วนเรื่อง “ความเหลื่อมล้ำ” ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก เพราะในปี 2564 ครัวเรือนมีมูลค่าทรัพย์สินรวมสูงสุด 31.2% ของ GDP ประเทศ ส่วนแบ่งรายได้กลุ่มรวยที่สุด 31.43% กลุ่มยากจนที่สุด 2.04% ต่างกัน 16.4 เท่าแบ่งทรัพย์สินการเงินกลุ่มรวยสุดร้อยละ 51.1 สูงกว่ากลุ่มจนสุด 30.2 เท่า ผู้ถือครองที่ดินมากสุด 631,263 ไร่ เป็นโฉนด 61.48% ส่วนผู้ถือครองที่ดินมากสุด กับน้อยสุดครอบครองที่ดินต่างกัน 855 เท่า ค่าสัมประสิทธิ์ความไม่เสมอภาค ถือครองโฉนด 95 ล้านไร่ มีอยู่ 15 ล้านรายในปี 2555 เท่ากับ 0.886หากดูเฉพาะ “เศรษฐี 40 อันดับแรก” จากปี 2552-2565 มีทรัพย์สิน เพิ่มขึ้น 5.7 เท่าจาก 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯเป็น 1.43 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2565 เศรษฐีมีทรัพย์สินมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์มีทรัพย์สินมูลค่า 1.36 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนเงินฝากไม่เกิน 5 หมื่นบาทมีอยู่ 105 ล้านบัญชี เป็นเงิน 4.44 แสนล้านบาทบัญชีมากกว่า 50,000 บาท 14.2 ล้านบัญชีเป็นเงิน 15.1 ล้านล้านบาท และเงินฝากมากกว่า 500 ล้านบาท 1,543 บัญชีเป็นเงิน 2.4 ล้านล้านบาท ฉะนั้นความเหลื่อมล้ำจึงผูกพันกันอยู่ ตอกย้ำด้วย “สถานการณ์ความเปราะบาง” เด็กและเยาวชนอายุ 0-21 ปีทั่วประเทศมีอยู่ 2.9 ล้านคน อยู่ในครอบครัวมีรายได้เฉลี่ย/คน/เดือน 2,577 บาท ค่าใช้จ่ายการเลี้ยงดูเฉลี่ย 6,250 บาท/เดือน และในปี 2565 ผู้ว่างงาน 5.46 แสนคน แรงงานอิสระนอกระบบ 20.4 ล้านคน และเข้าไม่ถึงระบบประกันสังคม 10 ล้านคนผู้สูงอายุ 12 ล้านคนได้เบี้ยยังชีพ 600-1,000 บาท 10.8 ล้านคน และไม่เคยปรับมาตั้งแต่ปี 2554 คนพิการ 2 ล้านคนได้เบี้ยยังชีพ 800 บาท ทำให้องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) เคยชี้สัดส่วนค่าใช้จ่ายการคุ้มครองทางสังคมต่อ GDP เฉลี่ยของไทย 3% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก 12.9% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออก 7.5%ทีนี้เมื่อเปรียบเทียบ “รัฐมนตรี” เรื่องเคยยื่นข้อเสนอเงินอุดหนุนเด็ก การพัฒนาเด็ก และศูนย์เด็กเล็ก หากโฟกัส “รมว.พม.” ไม่ปรากฏในนโยบายหาเสียงของพรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคเพื่อไทย “การศึกษา” พรรคภูมิใจไทยที่ดูแลทั้งกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในช่วงท้ายๆมีการหาเสียงพูดถึง “การเรียนฟรีในระดับปริญญาตรี” แต่เอกสารส่ง กกต.กลับไม่มีนโยบายเรียนฟรี ไม่มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษา การยกเลิกหนี้ กยศ. หรือเงินอุดหนุนการเรียนรู้ในทุกช่วงวัย อันต่างไปจาก “พรรคเพื่อไทย” มีทั้งเรื่องอาหารกลางวัน การเรียนอาชีวะฟรี และปรับโครงสร้างการศึกษา ป.ตรีต่อมา “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” พรรคเพื่อไทยมีนโยบายยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพ 3 กองทุน อัตราเหมาจ่ายรายหัว 3,000 บาท แต่สิทธิข้าราชการ 1.5 หมื่นบาท เป็นโจทย์ทำอย่างไรให้มีสิทธิเท่ากัน “ที่อยู่อาศัยของ พม.” ก็ไม่มีนโยบายตามที่เราเสนอให้ปรับลดดอกเบี้ย มีบ้านเช่ามาตรฐานราคาถูกสำหรับคนทั้งสังคมในส่วน “การทำงาน และรายได้” ตรวจสอบแล้วไม่พบว่าพรรคภูมิใจไทยมีนโยบายด้านแรงงานตอบสนองค่าจ้างพื้นฐาน การปรับค่าจ้าง และการลดชั่วโมงการทำงาน สิทธิลาคลอด 180 วันประเด็น “โครงสร้างงบประมาณ” ในปี 2566 สวัสดิการประชาชนทั้งหมด 4.5 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 14 สวัสดิการข้าราชการราว 4.9 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15 แต่หากเป็นสวัสดิการ และรายจ่ายบุคคลากรข้าราชการอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40 ทำให้เห็นภาพสวัสดิการประชาชนไม่ควรตัดลดไปกว่านี้ ทว่าถ้าต้องใช้งบประมาณ 5.6 แสนล้านบาท สำหรับนโยบายเงินดิจิทัลนั้นเงินก้อนนี้สามารถนำมาใช้ขับเคลื่อนนโยบายรัฐสวัสดิการด้านอื่นได้ 20% หากต้องการกระตุ้นควรพูดถึงการปฏิรูปภาษีต่างๆ การปฏิรูปกองทัพในปีที่แล้วใช้งบประมาณกว่า 2 แสนล้านบาท ถ้าลดลง 20% ก็เท่ากับจะได้เงินงบประมาณกว่า 4 หมื่นล้านบาท“ยิ่งสามารถลดเงินซื้อเรือดำน้ำอีก 3 หมื่นล้านบาทก็จะมีเงินเป็นสวัสดิการผู้สูงอายุได้นานถึง 1 ปี สำหรับเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุ 3,000 บาทนี้ก็ปรับการให้ปีแรก 1 พันบาท จากเดิมได้ 600 บาทนั้นเท่ากับปรับเพิ่ม 400 บาท แล้วธรรมชาติของผู้สูงอายุเมื่อได้รับเงินแล้วก็มีการใช้จ่ายเลย จึงสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เช่นกัน” นิติรัตน์ว่าเรื่องสำคัญคือ “การกู้วิกฤติข้ามขั้ว ครม.หน้าเดิมบวกเพื่อไทย” จริงๆแล้วเราต้องให้โอกาสรัฐบาลพรรคเพื่อไทยก่อน ในส่วนรัฐมนตรีอยู่มา 4 ปีคงไม่ได้หวังโอกาสอะไร แต่จะเร่งในการตรวจสอบมากกว่าท้ายสุดเวลาพูด “เรื่องรัฐสวัสดิการ” คงแยกขาดกับการแก้โครงสร้างรัฐธรรมนูญไม่ได้อันมีความจำเป็นต้องเดินหน้าแก้ไขเร่งด่วน และขอยกความในมาตรา 12 ของรัฐธรรมนูญ 2489 บุคคลย่อมมีสถานะเสมอกัน ตามกฎหมายฐานันดรศักดิ์โดยกำเนิดก็ดีโดยแต่งตั้งก็ดี หรือโดยประการอื่นใดก็ดี ไม่ทำให้เกิดเอกสิทธิ์อย่างใดเลยนี่เป็นการบ้านฝาก“ครม.เศรษฐา 1” เพราะเรื่องสวัสดิการประชาชนนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างพัฒนาคุณภาพชีวิตสังคม สามารถทลายกำแพงระหว่างคนรวย และคนจนลงได้จริงๆ.คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม