เกือบทุกพรรคต่างประกาศนโยบายหาเสียงแบบประชานิยมลดแลกแจกแถม พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) สัญญาจะเพิ่มเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากเดือนละ 300 บาท เป็น 700 บาท พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) คู่แข่งสำคัญเกทับทันที สัญญาจะให้ผู้ถือบัตรคนจน 1,000 บาทมีอีกหลายพรรคที่สัญญาจะแจกสะบั้นหั่นแหลก ผลการสำรวจของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) พบว่าถ้า 9 พรรคทำตามสัญญา รัฐจะต้องใช้งบเพิ่มถึงปีละ 3.4 ล้านล้านบาท นับเฉพาะสองพรรคที่เป็นคู่แข่งสำคัญ ต้องแจกเงินปีละ 2 ล้านล้านบาท ทำให้สภาพัฒน์ถามว่าทำได้หรือไม่ จะเอาเงินมาจากไหนน.ส.วรวรรณ พลิคามิน รองเลขา ธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงว่า นโยบายประชานิยมจะทำให้รายจ่ายภาครัฐเพิ่มจาก 3 ล้านล้านบาท ในปี 2566 พุ่งขึ้นเป็น 6.5 ล้านล้านบาท จึงต้องปรับโครงสร้างภาษี เนื่องจากเป็นถึง 86.5% ของรายได้รัฐขณะที่นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. กล่าวว่า ถึงเวลาต้องเร่ง ปรับโครงสร้างภาษี เพราะหากปล่อยให้ล่าช้า จะทำให้เกิดแรงกดดันทางการคลังเพิ่มขึ้น และดำเนินการไม่ทัน ส่วนรองเลขาธิการสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า รายได้ภาษีต่อจีดีพีของไทยอยู่ในระดับต่ำมาตลอด 20 ปี จึงต้องทำงบขาดดุลต่อเนื่องการปรับโครงสร้างภาษี ไม่ได้มุ่งหาเงินมาให้พรรคการเมืองนำมาลดแลกแจกแถม เพื่อหาเสียงเลือกตั้งอย่างเดียว แต่อาจลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเป็นธรรมในสังคมด้วย เพราะสิทธิประโยชน์การหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนในปัจจุบัน อาจเอื้อต่อกลุ่มผู้มีรายได้สูงมากเกินไป ต้องปรับให้เป็นธรรมนโยบายประชานิยมที่กลายเป็น ปัญหาขณะนี้ รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 ของคณะรัฐประหาร คสช. ได้บัญญัติห้ามไว้ ไม่ให้รัฐบาลบริหารประเทศ โดยมุ่งแสวงคะแนนนิยม โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวต่อประเทศและประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยตำหนินักการเมืองหัวหน้า คสช.ท้วงติงว่า ถ้าใช้ นโยบายประชานิยม จะเอาเงินมาจากไหน แต่เมื่อต้องมาเป็นผู้นำพรรค และเป็นผู้นำในการรณรงค์หาเสียง กลับกลายประชานิยม ยิ่งกว่า ไม่คำนึงถึงผลร้ายใดๆ แต่มุ่งหน้าจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 3 ให้จงได้ แม้จะทำในสิ่งที่หมิ่นเหม่ต่อกฎหมาย เช่นสัญญาจะให้...