อัปเดตความรู้ “โควิด-19” รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ บอกว่า โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) ไม่สามารถใช้ป้องกันโรคโควิด-19 ได้ประเด็นข้างต้นนี้มาจากการศึกษา MOVe-AHEAD ในกลุ่มประชากรจำนวน 1,500 คนจาก 19 ประเทศทั่วโลก ซึ่งอาศัยอยู่กับสมาชิกในครอบครัวที่ติดเชื้อโรคโควิด-19 โดยประเมินประสิทธิผลของยาว่าจะสามารถช่วยป้องกันโรคโควิด-19 ในกลุ่มคนที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อได้หรือไม่?พบว่ากลุ่มที่ได้ยา “โมลนูพิราเวียร์” ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคโควิด-19 น้อยกว่ากลุ่มที่ได้ยาหลอกราว 23.6% แต่ไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ประเด็นถัดมา...การตายจากโรคโควิด-19 นั้นถือเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาลต่อประเทศ Silva S และคณะจากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่ผลการศึกษาใน Scientific Reports (22 ก.พ.66) ประเมินผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจของการสูญเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 จำนวนกว่าล้านคนสาระสำคัญพบว่า ความสูญเสียจากโรคโควิด-19 นั้นทำให้อายุขัยเฉลี่ยของประชากรลดลง 3.08 ปี และประเมินความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงถึง 3.57 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯอีกความรู้อัปเดตที่น่าสนใจ “ยา Metformin” ช่วยลดปริมาณไวรัส ลดเสี่ยงป่วยนอนโรงพยาบาลและเสียชีวิต รวมถึง “ลองโควิด”ที่มาที่ไปในเรื่องนี้มาจากผลการวิจัยล่าสุด COVID-OUT Trial นำเสนอในการประชุม CROI 2023 สหรัฐอเมริกา โดย Bramante C จากมหาวิทยาลัย Minnesota ศึกษาในผู้ป่วย 1,323 คนจาก 6 โรงพยาบาลพบว่ายา Metformin ช่วยลดปริมาณไวรัสได้ดีกว่ายาหลอก 4.4 เท่า โดยผลในการลดปริมาณไวรัสของ Metformin นั้นเทียบเท่ากับ Paxlovid ณ วันที่ 5 และดีกว่า Paxlovid ณ วันที่ 10นอกจากนี้ กลุ่มที่ได้ยาจะลดเสี่ยงต่อการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ 58% และลดเสี่ยงลองโควิดได้ราว 42%รศ.นพ.ธีระ บอกว่า อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามดูงานวิจัยอื่นๆจากทั่วโลกว่ามีการศึกษาแล้วได้ผลในทิศทางเดียวกันหรือไม่ เพื่อให้มีความมั่นใจมากขึ้นและนำไปสู่การพิจารณาประยุกต์ใช้วงกว้าง “...ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ ปรับสภาพแวดล้อม ที่อยู่อาศัย ที่เรียน ที่กินดื่ม ที่ทำงาน ให้มีการระบายอากาศดีกว่าเดิม การใส่หน้ากากอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก ไม่ติดเชื้อ หรือไม่ติดซ้ำ ย่อมดีที่สุด ความใส่ใจสุขภาพของตนเองและครอบครัว เป็นสิ่งสำคัญ”อัปเดตยาของญี่ปุ่น “Ensitrelvir fumarate (S-217622)”ดังที่ทราบข่าวกันมาตั้งแต่ปลายปีก่อนว่า ญี่ปุ่นได้อนุมัติให้ใช้ยา “Xocova” หรือ “Ensitrelvir Fumarate” ในการรักษาผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ที่มีอาการน้อยถึงปานกลาง โดยมีข้อมูลงานวิจัยที่สนับสนุนชัดเจนว่าช่วยลดระยะเวลาป่วยได้ และมีความปลอดภัยโดยมีผลข้างเคียง ได้แก่ อาจทำให้ระดับไขมัน HDL ลดลง และมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้นได้ ทั้งนี้ขนาดยาที่ใช้คือ 125 มิลลิกรัมวันละครั้งติดต่อกัน 5 วัน (วันแรกกิน 375 มิลลิกรัม) ล่าสุดในขณะนี้กำลังมีการประชุมโรคติดเชื้อระดับโลก CROI 2023 ที่ซีแอตเติล สหรัฐอเมริกา มีข้อมูลสำคัญที่ทำให้ทั่วโลกตื่นเต้นและจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยมีการนำเสนอผลงานวิจัยทางคลินิกแบบสุ่มและมีกลุ่มเปรียบเทียบ ที่ศึกษาเชิงลึกเพิ่มเติมใน 1,821 คน ในประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนามพบว่าการให้ยานี้ขนาด 375 มิลลิกรัมในวันแรก (เม็ดละ 125 มิลลิกรัม 3 เม็ด) ต่อด้วย 125 มิลลิกรัม อีก 4 วัน ภายใน 120 ชั่วโมง (5 วัน) หลังเกิดอาการป่วย จะช่วยให้ตรวจไม่พบเชื้อไวรัสได้เร็วกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ยาอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ 96% ของกลุ่มที่ได้ยานี้จะตรวจไม่พบเชื้อ ณ วันที่ 4 (หลังได้รับยาไป 3 โดส)นอกจากนี้ ที่สำคัญก็คือ มีการติดตามกลุ่มผู้ป่วยต่อไป 3 เดือน และ 6 เดือน เพื่อประเมินอัตราการเกิดปัญหา “ลองโควิด” (ในงานวิจัยนี้กำหนดไว้ 14 อาการ) พบว่าการให้ยานี้ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดได้ถึง 45% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ยา (14.5% ในกลุ่มที่ได้ยา และ 26.3% ในกลุ่มที่ไม่ได้ยา)....แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ถือเป็นข่าวดีที่โลกเราจะมีอาวุธในการสู้กับโรคโควิด-19 ทั้งสำหรับการ “รักษาโควิด-19” และช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิด “ลองโควิด” ด้วย อย่างไรก็ตาม ทาง US NIH เองก็เพิ่งประกาศโครงการวิจัยยานี้เช่นกัน จะทำการศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยประกาศมาเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้เอง นับเป็นอีกเรื่องสำคัญที่ต้องติดตามอัปเดตข่าวสารกันต่อไปสำหรับแนวทางการอัปเดตสายพันธุ์ไวรัสเพื่อผลิต “วัคซีน”...ทีมงานขององค์การอนามัยโลกได้เผยแพร่บทความนี้ในวารสารการแพทย์ Nature Medicine (20 ก.พ.66) ข้อมูลจำเป็นสำหรับการวางแผนเรื่องวัคซีนนั้นมาจากหลายแหล่ง ตั้งแต่ความร่วมมือของประเทศต่างๆ ในการเฝ้าระวังการระบาดของไวรัสโควิด-19โดยรายงานอย่างครบถ้วน สม่ำเสมอ และทันเวลา รวมถึงการวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการว่าการเปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ไวรัสนั้นส่งผลต่อสมรรถนะการติดเชื้อ แพร่เชื้อ การดื้อต่อภูมิคุ้มกัน และ...หรือส่งผลต่อการทำให้เกิดพยาธิสภาพ...การเจ็บป่วยรุนแรงมากขึ้นมากน้อยเพียงใดที่สำคัญคือ...การประเมินว่าวัคซีนเดิมที่ใช้กันอยู่นั้นจะยังมีประสิทธิภาพต่อสายพันธุ์ไวรัสที่พบหรือไม่ ทั้งนี้ข้อมูลต่างๆข้างต้นจะนำไปสู่กระบวนการวางแผนวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์วัคซีนใหม่ เพื่อใช้ทดสอบควบคู่กันไปและจึงนำไปสู่การวางแผนจัดการผลิต เพื่อนำไปสู่การใช้ในวงกว้าง ด้วยสถานะปัจจุบัน ข้อมูลวิชาการหลักที่มีและใช้กันนั้น ส่วนใหญ่มาจากวัคซีนประเภท mRNA ในขณะที่วัคซีนแพลตฟอร์มอื่นนั้นข้อมูลมีน้อยกว่าปัจจุบันแม้ว่า...ประเทศไทยเราจะมีตัวเลขจำนวนผู้ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาลหลักร้อยต้นๆมีจำนวนผู้เสียชีวิตหลักเดียวต่ำกว่า 10 ราย...โดยมีการคาดประมาณจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่แค่ราวๆหลักพันต้นๆเท่านั้น กระนั้นทุกๆคนก็ควรใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ควรประมาท ป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ“การใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง จะช่วยลดความเสี่ยงทั้งต่อโควิด-19 และ PM2.5 ลงไปได้มาก” รศ.นพ.ธีระว่า “ความใส่ใจสุขภาพของตนเองและสมาชิกในครอบครัว จะช่วยประคับประคองให้เรามีสวัสดิภาพและความปลอดภัยในยุคที่โรคระบาดยังคงอยู่ และยังไม่สิ้นสุด”ย้ำว่า...การติดเชื้อแต่ละครั้งทำให้ป่วยได้ ตายได้ และเสี่ยงต่อภาวะผิดปกติในระยะยาวอย่าง “ลองโควิด” ได้อีกด้วย...การป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อ หรือไม่ติดซ้ำ ย่อมดีที่สุดอย่างไรเสีย “โควิด-19” ก็ยังอันตรายร้ายกว่า “ไข้หวัดใหญ่” ด้วยว่าผู้ติดเชื้อโควิดที่ป่วยรักษาตัวในโรงพยาบาล จะเสี่ยงเสียชีวิตมากกว่าไข้หวัดใหญ่ 1.5 เท่า...ผลการศึกษานี้ตอกย้ำให้เราเห็นถึงความสำคัญในการป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนสูงอายุหรือมีโรคประจำตัวเรื้อรัง.