ปัญหาเด็กถูกทอดทิ้งและเด็กกำพร้าในประเทศไทย นับวันยิ่งทวีความรุนแรงทำให้สถานสงเคราะห์กลายเป็นเบาะรองรับเลี้ยงดูทดแทนให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพกลับสู่สังคมดำรงชีวิตปกติสุขทำให้ปรากฏพบ “สถานสงเคราะห์เอกชนเกิดขึ้นมากมาย” ในจำนวนนี้ เกินกว่าครึ่งเปิดดำเนินการผิดกฎหมายโดยไม่มีการตรวจสอบจาก “ภาครัฐ” ทำให้เด็กถูกเลี้ยงดูไม่ถูกสุขอนามัย และเสี่ยงต่อการทารุณกรรมนี้ได้ นันทภรณ์ เอี่ยมวนานนทชัย เจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็ก องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย บอกว่าข้อมูลในปี 2563 “ประเทศไทยมีเด็กกำพร้าที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่จำนวนถึง 22%” แล้วต้องถูกส่งเข้าไปอยู่ในสถานสงเคราะห์ต่างๆ อันเป็นตัวเลขค่อนข้างสูงติดอันดับต้นๆของโลกด้วยซ้ำเท่าที่เคยทำวิจัย “กรณีเด็กในสถานสงเคราะห์ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี” ปรากฏพบว่า “เด็กกำพร้าแท้ๆมีเพียง 4% และ 9.92% ติดต่อพ่อแม่ไม่ได้” ในส่วนที่เหลือนั้นมาจากสาเหตุอื่น เช่น พ่อแม่ไม่พร้อม ครอบครัวแตกแยก และความยากจน ต้องการให้ลูกได้เรียนหนังสือ จึงนำมาอยู่ในสถานสงเคราะห์นั้น ทว่าตามหลักแล้ว “ขั้นตอนรับเด็กเข้าสถานสงเคราะห์” ถ้าเป็นภายใต้สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) 30 แห่งทั่วประเทศ ผู้ปกครองต้องมอบอำนาจให้หน่วยงานรัฐเป็นผู้ดูแลแทน แต่กรณีเด็กถูกดูแลอย่างไม่เหมาะสมตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ พม.ดำเนินการเริ่มจากการประเมินสภาพปัญหาครอบครัว “เน้นความปลอดภัยเด็กเป็นหลัก” แล้วพิจารณาสงเคราะห์ตามความเหมาะสม คือ 1.ช่วยเหลือให้ครอบครัวดูแลเด็กเองได้ 2.หากดูแลไม่ได้ก็หาผู้ดูแลชั่วคราว 3.ระยะยาวต้องหาครอบครัวอุปถัมภ์ 4.สถานแรกรับบ้านเด็กและครอบครัวอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน 5.นำเข้าสู่สถานสงเคราะห์ในส่วน “สถานสงเคราะห์เด็กเอกชน” หลายแห่งไม่ได้จดทะเบียน หรือไม่อยู่ในฐานข้อมูลของภาครัฐกลายเป็น “แดนสนธยา” มีวิธีการรับเด็กดูแลหลากหลายแต่ไม่ทราบผลดำเนินงานที่ชัดเจนประเด็นถัดมา “ตัวเลขสถานสงเคราะห์เด็กเอกชน” ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐออกใบอนุญาตให้เอกชนเปิดดำเนินการภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ ณ วันที่ 8 ส.ค.2565 มีสถานรองรับเด็กเอกชน 360 แห่ง ได้รับใบอนุญาต 172 แห่ง และไม่มีใบอนุญาต 188 แห่ง แต่ตัวเลขนี้สวนทางกับข้อมูลมูลนิธิวันสกายเคยสำรวจไว้ได้ 554 แห่งส่วนใหญ่จัดตั้งเป็นมูลนิธิแล้วรับเด็กด้อยโอกาสเข้าไปดูแลแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก...“เจตนาช่วยเหลือเด็กจริงๆ” โดยไม่หวังผลประโยชน์ ตอบแทน ส่วนที่สอง...“รับเลี้ยงดูทดแทนแสวงหาผลประโยชน์” ทั้งที่จริงสามารถช่วยเหลือโดยไม่ต้องแยกจากครอบครัวก็ได้ แต่ด้วยการดูแลในสถานสงเคราะห์เห็นภาพจับต้องได้ดีกว่าหากพูดตามหลัก “องค์การสหประชาชาติ” มักยึดการเลี้ยงดูทดแทนให้เติบโตในครอบครัวตัวเองไม่ว่าจะเป็นเครือญาติ หรือครอบครัวอุปถัมภ์ ในส่วนสถานสงเคราะห์เป็นทางเลือกสุดท้ายตามอนุสัญญาว่า “ด้วยสิทธิเด็ก 3 ข้อ” คือ 1.การกระทำเกี่ยวกับเด็กทั้งเป็นสถานสังคมสงเคราะห์ของรัฐ เอกชน ต้องคำนึงผลประโยชน์เด็กสูงสุดข้อ 2.รัฐภาคีต้องคุ้มครองดูแลเด็กด้วยการคำนึงถึงสิทธิหน้าที่ของพ่อแม่ หรือบุคคลอื่นที่รับผิดชอบเด็กตามกฎหมาย ข้อ 3.รัฐภาคีจะประกันว่าสถาบันการบริการที่รับผิดชอบต่อการดูแลคุ้มครองเด็กนั้นเป็นมาตรฐาน โดยเฉพาะความปลอดภัย สุขภาพ และจำนวนความเหมาะสมของเจ้าหน้าที่ตลอดจนการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ ปัญหามีอยู่ว่า “สถานสงเคราะห์เด็กเอกชนเปิดกันได้ง่าย” สามารถรับเด็กเข้าไปเลี้ยงดูตรงไหนก็ได้ ทำให้การขับเคลื่อนเพื่อเป็นไปตามหลักองค์การสหประชาชาติ หรือ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ ทำได้ยากจนทุกวันนี้แล้วยิ่งกว่านั้น “ภาครัฐยังขาดกลไกติดตามดูแลสถานสงเคราะห์เด็กเอกชน” กลายเป็นช่องว่างความเสี่ยงต่อเด็กถูกกระทำความรุนแรงแบบใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำความรุนแรงทางกาย ทางจิตใจด้วยคำพูดไม่เหมาะสม ความรุนแรงทางเพศ และการนำเด็กไปเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์เรี่ยไรเงินก็มีด้วยสถานสงเคราะห์บางแห่งเป็นแบบปิดมีโรงเรียนภายใน ทำให้คนภายนอกไม่อาจรับรู้ว่า “เด็กถูกทารุณกรรมอะไรบ้าง” เรื่องนี้ภาครัฐต้องมีกลไกตรวจสอบดูแลเด็กในสถานสงเคราะห์เอกชนเข้มงวดกว่านี้ เพราะดูสถิติสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนไม่ได้ขึ้นทะเบียนมากมาย ทำให้เกิดช่องว่างการตรวจสอบควบคุมไม่ทั่วถึงอยู่ทุกวันนี้ดังนั้น “ภาครัฐต้องมองเรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญ” เพื่อออกมาตรการเฝ้าติดตามทุกพื้นที่อันจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงเด็กอาศัยอยู่สถานสงเคราะห์ในอนาคต “โดยไม่ต้องรอให้ความรุนแรงเกิดขึ้น” ด้วยการทำงานเชิงรุกตรวจสอบให้แน่ใจว่า “แต่ละจังหวัดมีสถานสงเคราะห์เอกชนเท่าใด” แล้วสนับสนุนผลักดันเข้าสู่ระบบอย่างถูกต้องเพราะตราบใดก็ตาม “สถานสงเคราะห์เด็กเอกชน” ยังไม่ได้ถูกนำขึ้นมาอยู่บนดินแล้วไซร้ สถานที่แห่งนั้นก็คงเป็น “แดนสนธยา” ที่ไม่อาจล่วงรู้ชะตากรรมของเด็กที่อยู่ในนั้นได้เลยหากเมื่อเทียบกับ “ในต่างประเทศ” โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ก่อกำเนิดสถานสงเคราะห์จำนวนมาก “นำมาซึ่งปัญหาการใช้ความรุนแรง” ทำให้หลายประเทศพยายามลดจำนวนสถานสงเคราะห์ ลงแล้วเคลื่อนไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบในการดูแลรูปแบบครอบครัวอุปถัมภ์มากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกับ “หลังสงครามกลางเมืองกัมพูชา” มีเด็กกำพร้าอยู่ในสถานสงเคราะห์จำนวนมาก “รัฐบาลกัมพูชาและองค์การระหว่างประเทศ” ช่วยกันขับเคลื่อนปรับเปลี่ยนรูปแบบการดูแลเป็นแบบครอบครัวอุปถัมภ์มากขึ้น เพื่อให้เด็กได้รับพัฒนาการที่ดี และลดความเสี่ยงการถูกทารุณกรรมในสถานสงเคราะห์นั้นย้อนกลับมา “ประเทศไทย” ภาครัฐยังให้ความสำคัญต่อเด็กถูกกระทำความรุนแรงในสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนค่อนข้างน้อย ทำให้เกิดปัญหาอยู่บ่อยๆ ดังนั้นเราต้องขับเคลื่อนการดูแลรูปแบบอื่นๆ รวมถึงการเลี้ยงดูในครอบครัวทดแทน เพื่อไม่ต้องนำเด็กมาอยู่ร่วมกันแล้ว “เด็ก” ก็จะได้รับการพัฒนาบนฐานประโยชน์สูงสุด ด้วยหลัก “สิทธิเด็ก” ควรได้เติบโตในสภาพแวดล้อมของครอบครัวโดยจะส่งเข้าสถาบันดูแลเด็กเฉพาะกรณีจำเป็นเท่านั้น “ยึดหลักประโยชน์สูงสุดของเด็ก” ไม่สนับสนุนให้อยู่ในสถานดูแลเนื่องจากมีงานวิจัยมากมายสะท้อนผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพ พัฒนาการ โอกาสในชีวิตของเด็ก และความเสี่ยงสูงที่จะถูกทารุณกรรมตอกย้ำด้วยอนุสัญญาว่า “ด้วยสิทธิเด็กข้อ 20” กรณีเด็กที่ถูกพรากจากสภาพครอบครัวไม่ว่าจะถาวรหรือชั่วคราว ต้องได้รับการคุ้มครองช่วยเหลือพิเศษ “ภาครัฐ” มีหน้าที่เข้ามามีบทบาทอย่างเข้มแข็งในการควบคุมตรวจสอบมาตรฐานของสถานดูแลต่างๆ ทั้งของหน่วยงานรัฐและเอกชนโดยเฉพาะในด้านความปลอดภัย สุขภาพ และความเหมาะสมของจำนวนเจ้าหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ นอกจากนี้ “ยังต้องจัดหาผู้อุปถัมภ์และการรับบุตรบุญธรรม” โดยปัจจุบันนี้ภาครัฐสนับสนุนแก่เครือญาติอุปถัมภ์เฉลี่ยปีละ 5 พันคน ครอบครัวอุปถัมภ์ 200-300 คนต่อปีสุดท้ายนี้ “ภาครัฐต้องเข้าไปดูแลเด็ก” กลุ่มอยู่ในสถานดูแลของรัฐและเอกชนที่มีหลากหลายทั้งสถานสงเคราะห์ โรงเรียนประจำ รูปแบบองค์กรศาสนา แล้วจำเป็นต้องพัฒนาเสริมสร้างการดูแลรูปแบบอื่นๆ เช่น การเลี้ยงดูในครอบครัวทดแทน แต่ถ้าจะให้ดีควรจัดสวัสดิการให้ครอบครัวสามารถดูแลเด็กเองได้เรื่องนี้ “ภาครัฐต้องมีบทบาทกำกับดูแลสถานเลี้ยงเด็กเข้มงวดขึ้น” ทั้งขึ้นทะเบียนแล้วและยังไม่ขึ้นทะเบียน “จัดการให้เป็นระบบ” เพื่อแน่ใจว่าเด็กได้รับการดูแลเหมาะสมเกิดประโยชน์สูงสุดจริงๆ.