ภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้ เพราะโควิด-19 “เด็กประถมต้น” มีพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อ เทียบเท่าอนุบาล 2 สะท้อนความจริงที่พบด้วยว่า เด็กร้อยละ 98 มีแรงบีบมือต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของเด็กในวัยเดียวกัน ส่งผลให้เขียนหนังสือช้า ควบคุมทิศทางการเขียนได้ไม่ดีนอกจากนี้แล้ว...การทรงตัวในการนั่งเขียนไม่ดี ทํางานเสร็จช้า เรียนไม่รู้เรื่องให้รู้เอาไว้ว่า “กล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่” มีความสำคัญอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว กล้ามเนื้อมัดเล็กมีความสำคัญในการพัฒนาสมองและระบบประสาท เพราะใช้ทั้งเขียนหนังสือ เล่นดนตรี หยิบจับของต่างๆไปจนถึงช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวัน ส่วนกล้ามเนื้อมัดใหญ่...ก็ต้องพัฒนาควบคู่กันโดยกล้ามเนื้อมัดใหญ่...มีความสำคัญในการเรียนรู้ของเด็กๆมากทั้งช่วยในการพยุงตัวหรือทรงตัว ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ว รวมถึงช่วยให้อวัยวะต่างๆทำงานสัมพันธ์กัน คำถามสำคัญมีว่าช่วงที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับ “เด็กประถมต้น”? คำตอบก็คือ...นักเรียนชั้น ป.2 เป็นกลุ่มที่มีภาวะเรียนรู้ถดถอยสูง ตลอดช่วงการระบาดของโควิด-19 กว่า 2 ปี เด็กๆเรียนด้วยข้อจำกัด“เรียนออนไลน์ไม่เหมาะกับเด็กปฐมวัยและประถมศึกษาตอนต้น พื้นฐานสำคัญของการเรียน การอ่าน การคิดเลข ถ้าเริ่มต้นไม่ดี เรียนไม่รู้เรื่องตั้งแต่เล็ก โอกาสล้มเหลวในอนาคตสูง ยังมีโอกาสเสี่ยงหลุดออกนอกระบบ สอดคล้องกับที่ยูเนสโกชี้ว่า...ถ้าเราไม่จัดการอะไรเรื่องนี้อย่างจริงจังประเทศจะเสียเด็กรุ่นนี้ไปทั้งรุ่น”รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง ผู้ทำวิจัยเรื่อง “การสำรวจสถานะความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการศึกษาของเด็กปฐมวัย” สะท้อนความจริงไว้เช่นนี้สิ้นสุดภาคเรียนแรกของปีการศึกษา 2565 กับการเปิดเรียน 100% มีสัญญาณอะไรในห้องเรียน ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาที่กำลังบอกเราว่าเด็กรุ่นนี้มีโอกาสเป็น “ลอสเจเนอเรชัน” อย่างที่องค์การยูเนสโกคาดการณ์ หากรัฐบาลทั่วโลกไม่ลงมือฟื้นฟูการเรียนรู้ แต่กลับมุ่งจะก้าวไปข้างหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้วันนี้สถานการณ์โรคระบาดจะเริ่มคลี่คลายแล้วจากการวิเคราะห์ทางด้านสาธารณสุข แต่บาดแผลที่เกิดขึ้นกับการเรียนรู้ของเด็กๆยังเรื้อรังและไม่มีทีท่าว่าจะหายไปโดยง่ายนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2563 การปิดสถานศึกษาและการเรียน การสอน รูปแบบทางไกลส่งผลต่อประสิทธิภาพ การเรียนรู้ของนักเรียนทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่ม...ยากจน ขาดโอกาส และกลุ่มเด็กเล็กทักษะขั้นพื้นฐานในทุกมิติที่เด็กๆได้สะสมไว้หายไป น่าสนใจว่า...เด็กๆจำนวนไม่น้อยลืมวิธีการอ่านและเขียน บางคนจำไม่ได้แม้แต่ตัวอักษร เด็กเล็กเริ่มเข้าเรียน แต่กลับไม่มีโอกาสได้ เรียนรู้ทักษะหรือการเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายอารมณ์ สังคมและสติปัญญา เนื่องจากการเรียนรู้ในช่วงปฐมวัยหรือประถมต้นที่ขาดหายไปหากเราไม่สามารถหยุดแนวโน้มนี้ได้ หมายความว่า...ประเทศไทยจะไม่ได้อยู่ในภาวะการเรียนรู้ถดถอยเป็นรายบุคคลเท่านั้น แต่ข้อมูลที่พบกำลังบอกเราว่า ประเทศไทยอาจเข้าสู่ภาวะเสี่ยงต่อการสูญเสียเด็กทั้งรุ่น หรือ “LostGeneration”...เรื่องนี้จึงเป็นวาระเร่งด่วนที่ทุกฝ่ายควรตื่นตัวและให้ความสำคัญกสศ.ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สำรวจสถานะความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการศึกษาของเด็กปฐมวัยเพื่อประเมิน...“เด็กปฐมวัย” มีความพร้อมที่จะเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพเมื่อเข้าสู่ระบบการศึกษาที่เป็นทางการในระดับประถมศึกษาหรือไม่โดยวัดทักษะพื้นฐานด้านภาษา ด้านคณิตศาสตร์ รวมถึง Executive Functions (EFs) เช่น ความจำใช้งาน (working memory) พร้อมกันนี้ยังได้สำรวจข้อมูลพื้นฐานของครัวเรือน...สถานศึกษาซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ ต่อระดับความพร้อมของเด็กปฐมวัยระดับอนุบาล 3 รวม 73 จังหวัด ระหว่างปีการศึกษา 2563-2565พบว่า ทักษะด้านภาษาหลังจากต้องหยุดเรียน...หลังจากต้องหยุดเรียนเป็นเวลานาน เด็กจำนวนมากขึ้นไม่รู้จักตัวอักษรไทยเลยจากร้อยละ 9 ก่อนการระบาดโควิด-19 เป็นร้อยละ 15 หลังการระบาดถัดมา...ทักษะด้านคณิตศาสตร์ ทักษะด้านภาษาหลังจากต้องหยุดเรียน...หลังจากต้องหยุดเรียนเป็นเวลานาน พบว่า เด็กปฐมวัยจำนวนมากขึ้นไม่รู้จักตัวเลข 0–9 ได้ครบจากร้อยละ 25 ก่อนการระบาดเป็นร้อยละ 36 หลังการระบาดประเด็นสำคัญที่ต้องเน้นย้ำ...หลังจากต้องหยุดเรียนเป็นเวลานาน เด็กปฐมวัยมีความสามารถในการจำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ลดลง ซึ่งน่าจะเป็นเพราะความจำใช้งานต้องสร้างผ่านการทํากิจกรรมที่กระตุ้น ในการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ “สมอง”...จึงจะพัฒนาความสามารถในการจดจำแล้วดึงความจำนั้นมาใช้งานดังนั้น พอไม่ไปโรงเรียนและผู้ปกครองไม่รู้วิธีกระตุ้นจึงเกิดภาวะถดถอยขึ้น ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ชี้ว่า ในขณะที่สถานการณ์การระบาดใหญ่ของโควิด-19 กำลังจะจบ จึงยังมีวิกฤติซึ่งเกิดจากผลกระทบในช่วงที่ผ่านมาที่เราต้องเร่ง “รับมือ” และ “แก้ไข”“เด็กปฐมวัย” ที่มีภาวะการเรียนรู้ถดถอย มีโอกาสสูงที่จะประสบปัญหาการเรียนรู้ในระดับประถมศึกษาเพราะพวกเขาคือ “เด็กอนุบาลยุคโควิด–19” ที่ข้ามมาเรียนชั้นประถมต้นในปัจจุบันตลอด 2 ปีที่ผ่านมา การปิดเรียนแต่ละวันในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้เด็กปฐมวัย-อนุบาลเสียโอกาสในการเรียนรู้ไปกว่าร้อยละ 90 ของระดับการเรียนรู้ที่ควรจะได้ จึงส่งผลให้เกิดภาวะฉุกเฉินทางการเรียนรู้ขึ้น...“เด็กประถมต้นในวันนี้มีพัฒนาการเท่าเด็กชั้นอนุบาล”อย่างไรก็ตาม แม้เด็กและเยาวชนได้รับผลกระทบจากการเรียนรู้ถดถอยทุกระดับชั้น แต่ช่วงประถมตอนต้นคือพื้นฐานสำคัญของการเรียน การอ่าน การคิดเลข ถ้าเริ่มต้นไม่ดี เรียนไม่รู้เรื่องตั้งแต่เล็ก โอกาสที่จะล้มเหลวในอนาคตสูง ด้วยพื้นฐานที่ไม่แข็งแรง ทําให้มีโอกาสที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษาได้สถานการณ์ฉุกเฉินนี้เกิดขึ้นทั่วโลกรายงานล่าสุดในการประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาระบุว่าเด็กเล็กมากกว่า 167 ล้านคนทั่วโลก สูญเสียโอกาสในการเข้าถึงบริการการศึกษาก่อนปฐมวัย เด็กอายุ 10 ปีจากประเทศยากจนและรายได้ปานกลางไม่สามารถอ่านหนังสือหรือเข้าใจเรื่องราวง่ายๆได้เพิ่มขึ้นจาก 53% เป็น 70% ขณะที่ 34% ของเด็กทั่วโลก...มีภาวะความเครียด ซึมเศร้า และวิตกกังวลเพิ่มขึ้น...นักการศึกษาทั่วโลกต่างเป็นห่วงกับสถานการณ์นี้ พยายามกระตุ้นให้ประเทศต่างๆลงทุนในการแก้ปัญหาและมีแผนฟื้นฟูอย่างจริงจังโดยเร่งด่วน มิเช่นนั้นแล้ว เราอาจสูญเสียเด็กรุ่นนี้ไปทั้งรุ่นตอกย้ำ 14 สัญญาณเตือนที่ค้นพบ อาทิ เด็กพูดเป็นคำๆไม่เป็นประโยค, เล่าเรื่องไม่ได้, ท่าทางจับดินสอผิด เกร็งเมื่อยล้า, เขียนได้ช้าหรือเขียนไม่เสร็จ, ตอบคำถามเป็นคำๆหรือประโยคสั้นๆ, อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้แม้คำพื้นฐาน, กระโดดขาเดียว และกระโดดสองขาพร้อมกันไม่ได้, เด็กบางคนมีอาการทางจิตใจเช่น เครียด ไม่โต้ตอบ ไม่สื่อสาร แยกตัวจากเพื่อน งอแง ขาดเรียนบ่อย ไปห้องน้ำบ่อยและไปครั้งละนานๆ บางคนขอไปห้องพยาบาลเพราะปวดหัว ปวดท้องบ่อยจนผิดสังเกตทั้งหมดนี้เป็นแนวทางเบื้องต้นให้ “โรงเรียน” และ “ครอบครัว” สังเกตบุตรหลานหรือลูกศิษย์ของตนเองและช่วยกันฟื้นฟูให้ทันท่วงที.