ความสูญเสียครั้งใหญ่จาก “เหตุ สังหารหมู่ที่ จ.หนองบัวลำภู และกราดยิงที่ จ.นครราชสีมา” ในช่วงที่ผ่านมานั้นเป็นโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญ “คนไทย” ที่สะท้อนให้เห็นถึงการใช้กำลังแก้ปัญหานี้ กลายเป็นภัยใกล้ตัวที่เริ่มมีแนวโน้มทวีความรุนแรงเกิดถี่มากขึ้นเรื่อยๆจนไม่อาจปล่อยผ่าน จำเป็นต้อง “ถอดบทเรียน” เพื่อหาทางป้องกันสกัดกั้นเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต ทำให้ไม่นานมานี้ “รร.นายร้อยตำรวจ และ บ.ซีเคียวริตี้ พิทช์ จำกัด” ได้จัดเสวนาวิชาการในหัวข้อ “ทางเลือก ทางรอด บทเรียนจากเหตุกราดยิงโคราช สู่หนองบัวลำภู” ผ่านเพจ รร.นายร้อยตำรวจเวทีเสวนาครั้งนี้ พ.ต.อ.วินัย ธงชัย นักจิตวิทยา (สบ 4) สังกัด รพ.ตำรวจ บอกว่า การกระทำความรุนแรงในสังคมไทยเกิดขึ้นเกือบทุกวัน “แล้วกำลังจะถูกมองเป็นเรื่องปกติธรรมชาติ” ที่จะกลายเป็นความคุ้นชินจนเกิดการเรียนรู้ สุดท้าย “คนในสังคม” ก็จะหันไปแก้ปัญหาสิ่งคับข้องใจด้วยความรุนแรงต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เพราะคนที่ใช้ความรุนแรงนั้น “มักเคยทำมาแล้วหลายครั้ง” จนเริ่มเข้าสู่กระบวนการเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่เข้าใจว่า “สังคมไทยก้าวมาถึงจุดที่ความรุนแรง” เป็นเรื่องคุ้นชินได้อย่างไร...?หนำซ้ำยุคนี้ “กรณีการใช้ความรุนแรง” ยิ่งเกิดขึ้นถี่บ่อยต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น “กราดยิงในโคราช หรือการสังหารหมู่ในจ.หนองบัวลำภู” ล้วนสะท้อนถึงลักษณะความรุนแรง “แบบไตร่ตรองวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้า” อันมีเป้าหมายในการสื่อสารนำเสนอเหตุจูงใจผ่านการก่ออาชญากรรมนั้นทว่า เหตุลักษณะนี้มักเกิดขึ้นบ่อยใน “สหรัฐอเมริกา” โดยเฉพาะกรณีกราดยิงในโรงเรียน ทำให้มีการศึกษาทางวิชาการ “ด้วยการเก็บตัวอย่างเหตุกราดยิงในโรงเรียน” ตั้งแต่ปี 2517-2547 จำนวน 37 เหตุการณ์ มีผู้ทำผิด 41 ราย ผลการศึกษาสะท้อนให้เห็นว่า 71% ผู้ก่อเหตุเคยถูกกระทำความรุนแรงล่วงละเมิดมาก่อนอีกทั้ง 81% ผู้ก่อเหตุมักมีเรื่องส่วนตัวที่ไม่สามารถจัดการปัญหาวิกฤตินั้นได้ ทำให้เกิดการย้ำคิดอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งต้องแสดงอะไรบางอย่างออกมาเพื่อเป็นการแก้ปัญหาเหล่านั้นเช่นเดียวกับ “ด้านจิตวิทยา” ก็มองสาเหตุการใช้ความรุนแรงจาก “ผู้ก่อเหตุ” มีปฏิสัมพันธ์เกี่ยวกับบุคลิกภาพและบริบทสภาพแวดล้อม “อันเกิดจากการเคยถูกกระทำมาก่อนเป็นแรงกระตุ้น” ทำให้ถูกพัฒนาทางความคิด และมีความเชื่อบางอย่างจนเกิดการต่อต้านทางสังคมขึ้นตามมากล่าวคือ “ผู้ก่อเหตุ” กำลังเชื่อว่า “เขาถูกผู้มีอำนาจเข้ามาควบคุม ดูหมิ่น และกำลังจะมาลงโทษ” อย่างเช่นกรณีคดีอดีตตำรวจก่อเหตุในจ.หนองบัวลำภู ที่มีลักษณะค่อนข้างชัดเจนว่า “ถูกคนในองค์กรตำรวจดูหมิ่น เหยียดหยามและลงโทษ” จนกระทั่งตัวเขาถูกผลักออกจากสังคมไป เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ “เกิดการตีความสิ่งที่ได้รับรู้มาบิดเบือน” มองการกระทำของคนอื่นไม่ถูกต้อง “คิดเพียงว่าคนรอบข้างจะครอบงำ” จึงพยายามหาหนทางออกให้มีตัวตนในสังคมเป็นที่เคารพนับถือของบุคคลอื่นกลายเป็นแรงกระตุ้นให้ “มีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อสู้โจมตีศัตรูผู้อ่อนแอ หรือจุดที่เข้าถึงง่าย” ด้วยการทำร้ายร่างกายอันเป็นวิธีเดียว “ที่จะได้รับการเคารพนับถือ” ทั้งยังทำให้ผู้ก่อเหตุรู้สึกว่า “ตัวเองมีอำนาจเป็นอิสระยิ่งขึ้น” แล้วสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีผลมาจากการถูกกระทำมาก่อน เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรู้สึกเจ็บปวดมากที่สุดดังนั้น แนวทาง “การช่วยเหลือผู้เผชิญปัญหาความเครียด” ควรแก้ไขต้นตอให้ผู้นั้นปรับตัวขจัดความเครียดด้วยตัวเอง ในเรื่องนี้ “ตำรวจฮ่องกง” เคยถอดบทเรียนมาเป็นหลักปฏิบัติ 5 ข้อ คือ 1.ตำรวจต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ 2.รู้จักบริหารจัดการความเครียด 3.รู้จักจัดการความขัดแย้งทั้งครอบครัว หน่วยงาน และประชาชน ข้อ 4.องค์กรตำรวจต้องช่วยเหลือโดยเฉพาะ “ผู้บังคับบัญชา” สามารถที่จะให้คำปรึกษาอย่างมีทักษะการสื่อสารที่ดี และ 5.บริบทชุมชนต้องดูแลสมาชิกคนกลุ่มนี้พร้อมยอมรับให้การช่วยเหลือซึ่งกันและกันเช่นเดียวกับ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผช.อธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยา ม.รังสิต บอกว่า เหตุกราดยิงเป็นเรื่องคาดเดาได้ยากว่า “จะเกิดขึ้นที่ใด เวลาไหน” หากวิเคราะห์กรณีคดีกราดยิงใน จ.นครราชสีมา และเหตุสังหารหมู่ใน จ.หนองบัวลำภู มีความเหมือน และแตกต่างกันในเหตุการณ์สิ่งที่เหมือนกันก็คือ “ผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้รับการฝึกฝนการใช้อาวุธมาอย่างดี” เพราะต้องใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลความสงบสุข และความปลอดภัยของสังคม สามารถแยกเป็น 2 ประเด็น คือประเด็นแรก “ตัวผู้ก่อเหตุ” มีลักษณะสภาพจิตใจ วิธีการคิด และบุคลิกภาพค่อนข้างแตกต่างไปจากบุคคลทั่วไปแน่นอนด้วยไม่นานนี้มีโอกาสได้พูดคุยกับ “จนท.สถานทูตของอังกฤษ” ก็ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับระบบการฝึกอบรมหน่วยงานผู้บังคับใช้กฎหมายนั้น คือควรต้องเน้นย้ำ Soft Skills ทักษะการร่วมงานกับผู้อื่นอยู่เสมอ เพื่อให้มีปฏิสัมพันธ์การเห็นอกเห็นใจกับประชาชน หรือสังคมอันมีความสำคัญในการปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างมนุษย์เท่าเทียมกัน ประเด็นที่สอง “สภาพแวดล้อม” เริ่มตั้งแต่ครอบครัว และชุมชนมีความสำคัญที่จะช่วยลดเหตุร้ายได้ด้วยการสังเกต เช่น “บุคคลนั้นบ่นแค้นเพื่อนร่วมงาน หรือโกรธแค้นสังคม” ลักษณะนี้ถือเป็นสัญญาณอันตรายฉะนั้น การป้องกันนั้น “องค์กรต้นสังกัด” โดยเฉพาะตำรวจ ทหารฝ่ายความมั่นคง จำเป็นต้องประเมินสภาพจิตใจความพร้อมในการใช้อาวุธเหมือนอย่างในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ที่มีการประเมินสุขภาพจิตของผู้ปฏิบัติหน้าที่อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยมุ่งเน้นเรื่องการใช้อาวุธให้มีความปลอดภัยขณะเดียวที่ “ประชาชน” ก็เริ่มพูดถึงความเหมาะสมกรณี “ผู้ใช้สารเสพติด หรือผู้มีประวัติผัวพันกับอาชญากรรมร้ายแรง” ก็ต้องมีการพิจารณาในการครอบครองอาวุธปืนอย่างถูกกฎหมายเข้มงวดด้วยศ.พล.ต.ท.วีรพล กุลบุตร อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สตช. บอกว่า อาชญากรรมที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ “ผู้มีความสามารถทักษะการใช้อาวุธปืน” มักมีสาเหตุมาจาก “ความเครียด” โดยเฉพาะกรณีตำรวจที่เคยมีงานวิจัย “ฆ่าตัวตายสำเร็จสูง” ส่วนใหญ่มักเป็นระดับชั้นประทวนสายงานป้องกันและปราบปรามส่วนต้นเหตุ “ความเครียด” ก็มาจากแรงกดดันทางครอบครัว หรือการเสพสารมึนเมาอย่างกรณี “คดีอดีตตำรวจสังหารหมู่ใน จ.หนองบัวลำภู” ก็เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดตามที่เป็นข่าวนั้น ดังนั้น แนวทางป้องกัน สตช. ต้องพยายามหาทางคัดเลือกบุคคลภายนอกเข้ามาในระบบตำรวจอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนหน้านี้เคยไปดูงาน “การคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นตำรวจเยอรมัน” เพราะถูกยกย่องว่า “ตำรวจที่นี้มีความซื่อสัตย์คำนึงถึงหลักสิทธิเสรีภาพมาก” โดยการคัดเลือกนั้นก็ให้แต่ละโรงพักมีหน้าที่ปลูกฝังในโครงการต่างๆ ให้เยาวชนอายุ 15-18 ปี แล้วทุกปีก็เชิญชวนเข้ามาสมัครคัดเลือกเป็นตำรวจโดยไม่ต้องสอบวัดความรู้แต่ใช้หลักการ “ตรวจสอบถึงบ้าน” ตั้งแต่ครอบครัว คนรอบข้าง และความประพฤติผู้สมัคร หากพบประวัติเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย “ต้องถูกคัดออกทันที” สำหรับผู้ผ่านตรงตามเกณฑ์ก็เข้าสู่ “การสัมภาษณ์ และตอบคำถามแบบทดสอบ” เพื่อให้ได้เยาวชนมีทัศนคติเหมาะสมที่จะเข้ามาเป็นตำรวจที่ดีต่อไปแตกต่างจากประเทศไทยมักมีข่าวลือ “การทุจริต หรือข้อสอบรั่วอยู่บ่อยๆ” สิ่งนี้กลายเป็นจุดอ่อนของกระบวนการคัดเลือกบุคคลผู้มีความสามารถเข้ามาเป็น “ตำรวจไทย” ยกตัวอย่างกรณีอดีตตำรวจก่อเหตุ จ.หนองบัวลำภู ตามข่าวก็เคยเสพยามาตั้งแต่ก่อนสอบตำรวจด้วยซ้ำ อันสะท้อนให้เห็นปัญหานี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นนอกจากนี้ ยังมีกรณี “ผู้ที่เกี่ยวพันกับยาเสพติดเข้ามาเป็นตำรวจได้” ด้วยก่อนหน้านี้เคยมีนักเรียนท่านหนึ่งสอบผ่านข้อเขียนแล้ว “สอบตกสัมภาษณ์” เพราะคณะกรรมการพบประวัติเคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ทำให้ผู้สอบนำเรื่องฟ้องต่อ “ศาลปกครอง” ปรากฏว่าศาลมีคำสั่งให้ สตช.รับนักเรียนคนนี้เข้าเป็นตำรวจได้ เรื่องนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่า “การคัดบุคคลเข้ามาเป็นตำรวจนั้นเกี่ยวพันอยู่กับหลายองค์กร” ฉะนั้น อยากให้ประชาชนรับรู้ว่า “ควรส่งเสริมคนดีเข้ามาเป็นตำรวจ” ถ้าคิดว่าไม่ดีพอก็ควรไปประกอบอาชีพอื่นย้ำว่า “ตำรวจจะดี” อยู่ที่การฝึกอบรมครบหลักสูตรแล้ว “ผู้บังคับบัญชา” ควรรู้จักสอดส่องดูแลเป็นผู้ฟังให้คำปรึกษาแก่ “ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความเป็นธรรม” เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุร้ายเกิดซ้ำอีก.